วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การอุทิศส่วนกุศล


การอุทิศส่วนกุศล
ก่อนออกจากที่ ก่อนเลิกจากกรรมฐานทุกครั้ง ท่านสาธุชนควรตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลทุกครั้ง คำอุทิศส่วนกุศลตามแบบฉบับที่ หลวงพ่อฤาษี ท่านผูกเป็น “คาถา” สำหรับสานุศิษย์ผู้ฝึกวิชชา มโนมยิทธิ ไว้แล้ว ส่วนวรรคสุดท้าย ผู้เขียนต่อเติมเข้าไปเพื่อสร้างกำลัง เสริมความคล่องตัว ในปัจจุบัน.

คำอุทิศส่วนกุศล
        อิทัง ปุญญะ ผะลัง
ผลบุญใดที่ข้าพเจ้า (ทั้งหลาย) ได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ข้าพเจ้า (ทั้งหลาย) ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินมาแล้ว แต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ และจงอโหสิกรรมให้แก่ข้าพเจ้า ตั้งแต่วันนี้ตราบเข้าสู่พระนิพพาน
และข้าพเจ้า (ทั้งหลาย) ขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่เทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักษ์รักษาข้าพเจ้า และเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพ และพญายมราช ขอเทพเจ้าทั้งหลายและพญายมราช จงโมทนาในส่วนกุศลนี้ ขอจงเป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วยเถิด
และขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เสวยสุขอยู่ก็ดี เสวยทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงโมทนาในส่วนกุศลนี้ พึงได้รับประโยชน์ความสุข เช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด
ผลบุญใดที่ข้าพเจ้า(ทั้งหลาย) ได้บำเพ็ญแล้ว ณ โอกาสนี้ ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้า(ทั้งหลาย) ได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เถิด ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังมิได้ถึงซึ่งพระนิพพานเพียงใด ขอคำว่าไม่มี จงอย่าปรากฏแก่ข้าพเจ้า ทุกเมื่อเทอญ.
        อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ (กราบ)
        สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
        สุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)
ถ้าท่านใดจะอุทิศส่วนกุศลให้ญาติ ให้มิตรสหาย คนใด เป็นการพิเศษ เพื่อช่วยเหลือท่านผู้นั้นให้พ้นทุกข์ จะเป็นการบุญกุศลจาก สังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน การปฏิบัติพระกรรมฐาน เป็นต้น
ท่านแนะนำว่า ให้อุทิศเจาะจงเฉพาะตัว เป็นภาษาไทย (ไม่ต้องใช้บาลีเพราะบางผีอาจฟังไม่รู้เรื่องและบางทีนะ ผีรอแล้วรออีกก็ไม่ได้ อย่างเช่นบท “อิมินาฯ” เป็นต้น อุทิศให้ แต่เลยผีที่ขอไปเสียหมด) ให้เอ่ยชื่อท่านผู้นั้น ให้มาโมทนาเลยทีเดียว ถ้าเขามาโมทนาได้ ก็ได้ ถ้ามาไม่ได้ ก็ไม่ได้ แต่บุญที่เราอุทิศให้ไม่สูญหาย จะรอเขาอยู่ จนกว่าถึงวาระที่เขามารับได้
ที่มาไม่ได้ แสดงว่า เขาต้องใช้กรรมที่เขาก่อขึ้น ระหว่างการเป็นคนในมนุษยโลก โบราณาจารย์ท่านจึงกล่าวไว้ว่า ถ้าจะทำบุญให้คนตาย ต้องรีบทำให้ภายใน ๕ วัน ๗ วันมนุษย์ ถ้าเลยแล้วอาจจะไม่มีโอกาสได้รับ
สำหรับผู้ที่ประกอบกรรมหนัก จิตเป็นอกุศล ตนเองไม่ได้สร้างบุญบารมีใด ๆ ไว้ ตายเมื่อใดต้องเกิดใหม่ในนรกทันที บุคคลประเภทนี้ ไม่มีเวลารอรับส่วนบุญจากใคร ใครทำบุญอุทิศให้ ผู้ทำก็ได้เอง ๑๐๐ เปอร์เซนต์.

ตัวอย่างคำกล่าวอุทิศส่วนกุศลเฉพาะ
“ด้วยบุญบารมีที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน อันจะมีผลประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าเพียงใด ข้าพเจ้าขออุทิศให้แก่ …(ชื่อ)… ขอเธอจงมาโมทนา และได้รับประโยชน์ และความสุข เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด”.

เตือนสติ
เมื่อท่านได้มโนมยิทธิ และญาณ ๘ ประการแล้ว ท่านควรซักซ้อม ใช้ให้เป็นปกติทุกวัน ท่านรวบรัดแนะนำ ข้อควรปฏิบัติไว้ดังต่อไปนี้
๑.ทุกญาณของการรู้ ให้ถามตรงต่อพระพุทธเจ้า อย่าใช้กำลังของตัวเอง จะผิดพลาดได้ง่าย ต้องอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้าทุกครั้ง แม้พระอริยสาวกทั้งปวง ท่านก็ไม่ใช้กำลังของตนเอง เพราะความผิดพลาดเบี่ยงเบนย่อมเกิดขึ้นได้ และการใช้กำลังใจตัวเอง อุปาทานจะหลอกหลอนเอาได้ง่าย
๒.ก่อนนอน และ ตอนตื่นนอน รวบรวมกำลังใจ พุ่งไปนิพพานก่อน เมื่อถึงนิพพานแล้ว ให้ตัดสินใจว่า ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ขอมาที่นี่แห่งเดียวทันที เมื่อจิตเป็นสุขอยู่ที่พระนิพพานแล้ว กราบทูลถามพระพุทธเจ้า เช่น ใครจะมาหาบ้างวันนี้ กิจการงานวันนี้เป็นอย่างไร ฯลฯ สอบถามแล้วจดบันทึกไว้ตรวจสอบ วันไหนตรง ถูกต้องตามที่เรารู้ทุกอย่าง ให้จำอารมณ์นั้นไว้ วันต่อไปอยากรู้อะไร ให้ใช้อารมณ์เดิมแบบนั้น จะถูกต้อง จะทำหมอดู พยากรณ์ก็ได้ แต่ไม่ควรรับเงินตอบแทน จะทำให้เกิดความโลภและหลงในตนเอง อันจะปิดกั้นความดี กลายเป็นผลเสียดึงให้ลงนรกได้
๓.เมื่อรู้สภาวะตามความเป็นจริงของโลก และโลกธรรม จงตั้งใจไว้ว่า โลกนี้มันเลวอย่างนี้ เพื่อนเราชมต่อหน้า ลับหลังนินทาว่าร้าย อย่าโกรธเขา ใครกลั่นแกล้ง เราไม่โกรธ ตั้งจิตแผ่เมตตา ให้อภัยเขาไป เป็นอภัยทาน ทำจิตวางเฉย ถือว่า เป็นธรรมดาโลก ฉะนั้น เราจะคบกับทุกคนได้ แต่ไม่ยอมรับนับถือเขา ถ้าเขาเลว เรายอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์เท่านั้น
๔.การมี ทิพจักขุญาณ หรือ มโนมยิทธิ มิได้ช่วยให้ หนีนรก และอบายภูมิได้ ต้องทำใจท่านให้มีอารมณ์จิตเป็นพระอริยเจ้า จึงจะหนีนรกได้ถาวร อารมณ์จิตของพระอริยเจ้าเบื้องต้น ที่ท่านแนะนำไว้ เพื่อการหนีอบายภูมิอย่างถาวร ได้แก่
ไม่ลืมว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ฯลฯ
ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ
ทรงศีล ๕ ให้บริสุทธิ์สำหรับฆราวาส ส่วนภิกษุสามเณรก็ทรงศีลตามพระธรรมวินัย
คิดไว้เสมอว่า การเกิดเป็นทุกข์ เป็นมนุษย์เทวดาพรหมเราไม่ต้องการ เราต้องการเฉพาะพระนิพพานอย่างเดียว ตายเมื่อไรขอไปนิพพานทันที
๕.ต้องหมั่นฝึกซ้อม วิชชา มโนมยิทธิ เป็นฌานโลกีย์ ถ้าไม่หมั่นปฏิบัติฝึกฝน ไม่ทรงอารมณ์ใจให้บริสุทธิ์ วิชชานี้จะหายไปจากผู้นั้น และ การรู้เห็นคล่องตัวชัดเจน ต้องมี ๓ ดี คือ สมาธิดี ศีลดี และวิปัสสนาญาณดี
๖.อย่าประมาท อย่าทะนงตนว่าดีกว่า เก่งกว่าใครเขา(หรือคิดว่าตนเองเลวกว่าเขา) ถ้าคิดว่าเราดีเมื่อไร แสดงว่าจิตเราเลวเมื่อนั้น นักปฏิบัติต้องกระทำเพื่อละ อย่าคอยจ้องจับผิดผู้อื่น สนใจเรื่องของตน แม้ตนจะเข้าถึงความดี ระดับ “เปลือก สะเก็ด กระพี้ หรือแก่น” ก็ยังเป็นแค่ฌานโลกีย์ ยังไม่ดีพอ ต้องปฏิบัติให้ถึงขั้นโลกุตตระ ระดับพระอริยเจ้า จึงจะพอวางใจได้
ความดีระดับเปลือก ของพระศาสนา ข้าพเจ้าขอคัดลอกมาเป็นภาษาไทย ง่ายๆ ดังนี้
๑.ไม่กังวล
๒.ไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
ไม่ยุยงให้คนอื่นทำลายศีล
ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นทำลายศีลแล้ว
๓.ระงับนิวรณ์ได้โดยพลัน เมื่อต้องการความเป็นทิพย์ของจิต
๔.จิตทรงพรหมวิหารเป็นปกติตลอดวัน
ความดีชั้นสะเก็ด ได้แก่
๑.ไม่สนใจในจริยาของคนอื่น ใครจะดี จะเลว เรื่องของเขา
๒.ไม่ยกตนข่มท่าน
๓.อย่าถือตัวเกินไป
ความดีชั้นกระพี้ ได้แก่ การระลึกชาติได้ มีปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
ความดีระดับแก่น ของพระศาสนา คือ การคล่องในจุตูปปาตญาณ
๗.ความละเอียดเรื่องการรู้เห็นของแต่ละคน อาจไม่เหมือนกัน เพราะสภาพร่างกายของแต่ละภพภูมิต่างกัน ดังแจกแจงไว้ดังนี้
ร่างกายคน และ สัตว์ หยาบกว่า หนากว่า ผี คือ อสุรกาย สัมภเวสี เปรตบางจำพวก ถ้าผีไม่ต้องการให้คนเห็น คนก็จะเห็นไม่ได้ แต่พวกเขาเห็นคนได้
ผี มีร่างกายหยาบกว่า เทวดา ตั้งแต่ภุมเทวดาขึ้นไป ถ้าเทวดาไม่อยากให้พวกเขาเห็น ผีก็เห็นท่านไม่ได้
เทวดา มีร่างกายหยาบกว่า พรหม ร่างกายพรหมละเอียดกว่า ถ้าพรหมไม่ให้เห็น เทวดาก็เห็นพรหมไม่ได้
พระอริยเจ้า และ พระพุทธเจ้า ที่เข้านิพพานไปแล้ว มีร่างกายบางมาก ละเอียดมากกว่าพรหม ถ้าท่านไม่ต้องการให้เห็น แม้พรหมก็ไม่สามารถมองเห็นได้เลย
สำหรับลีลาในการปฏิบัติพระกรรมฐาน จะมีผลต่างกัน ดังนี้
ถ้าจิตสะอาดขั้นโลกีย์ชั้นต่ำ จะสามารถเห็นเทวดาได้ แต่จะไม่เห็นพรหม ผู้ปฏิบัติมโนมยิทธิหรือมีอภิญญาระดับนี้ จะไปสวรรค์ได้ แต่ไปพรหมไม่ได้ ท่านที่ฝึกทิพจักขุญาณในหมวดวิชชาสาม จะเห็นเทวดา แต่ไม่เห็นพรหม
ถ้าเจริญสมาธิจนจิตเป็นฌาน ผู้ปฏิบัติได้ในหมวดมโนมยิทธิถึงขั้นนี้ ไปพรหมได้ ผู้ปฏิบัติหลักสูตรวิชชาสาม สามารถเห็นพรหมและพูดกับพรหมได้
ถ้าเจริญสมาธิ มีจิตสะอาดระดับพระโสดาบันขึ้นไป ผู้ปฏิบัติตามหลักสูตรมโนมยิทธิ จะเห็นและเข้าเขตพระนิพพานได้ นั่งนอนในวิมานของตนที่แดนพระนิพพานได้ ผู้ที่ปฏิบัติในหลักสูตรวิชชาสามที่เจริญทิพจักขุญาณ จะเห็นนิพพานได้
๘.สีของจิตและลักษณะอทิสสมานกาย ซึ่งผู้ฝึกซ้อมการใช้เจโตปริยญาณควรรู้ไว้ เพื่อประโยชน์ในการดู การสังเกตทั้งใจของตนเองหรือกายผู้อื่น
สีของจิต หรือ น้ำเลี้ยงของจิต นั้น ท่านจำแนกไว้โดยย่อ ดังนี้
จิตที่มีความดี เพราะผลอย่างใดอย่างหนึ่ง จิตจะเป็น สีแดง
จิตที่ขณะนั้นมีความอาฆาตพยาบาท ความโกรธหรือเป็นทุกข์ จิตจะเป็น สีดำ
จิตมีอารมณ์น้อมไปทางเชื่อง่าย มักขาดเหตุผล จิตจะเป็น สีขาว เหมือนดอกกรรณิการ์
จิตผู้ฉลาด ปฏิภาณดี ไม่มีกังวล จิตมีสีผ่องใส คล้ายหยดน้ำบนใบบัว
ลักษณะของจิตที่กล่าวข้างต้น เป็น ลักษณะจิตของปุถุชน
ลักษณะจิตของผู้ทรงฌานโลกีย์ นั้น ท่านกล่าวไว้ดังนี้
ผู้ทรงฌานที่ ๑ หรือ ปฐมฌาน ลักษณะของจิตเหมือนเนื้อที่ถูกแก้วใส ๆ บาง ๆ ครอบไว้ภายนอก
ผู้ทรงฌานที่ ๒ หรือ ทุติยฌาน ลักษณะจิตเหมือนแก้วเคลือบหนาลงไปครึ่งหนึ่งของดวงจิต
ผู้ที่ทรงฌานที่ ๓ หรือ ตติยฌาน จิตท่านผู้นั้นจะเหมือนแก้วเคลือบหนามาก เห็นแก่นในนั้นอยู่นิดหน่อย ไม่เต็มดวง
ผู้ทรงฌานที่ ๔ หรือ จตุตถฌาน จิตของท่านจะเห็นเป็นแก้วใสทั้งดวง เหมือนดวงแก้วลอยอยู่ในอก
สำหรับ ลักษณะของจิตของพระอริยเจ้า นั้น ย่อมแตกต่างไปจากลักษณะที่กล่าวข้างต้นทั้ง ๒ จำพวก ท่านบ่งบอกไว้เป็น ๕ ลักษณะด้วยกันคือ
จิตของผู้ที่มีอารมณ์วิปัสสนาญาณและเจริญวิปัสสนาญาณ พอมีผลบ้างแล้ว จิตจะมองเห็นเป็นประกายออกเล็กน้อย
จิตของท่านที่เป็น พระโสดาบัน ดวงจิตจะมีประกายคลุมเข้ามาประมาณหนึ่งในสี่ของดวง
จิตของท่านที่เป็น พระสกิทาคามี จิตจะมีประกายประมาณครึ่งหนึ่งของดวง อีกครึ่งหนึ่งนั้นยังเป็นแกนหนาอยู่
จิตของท่านที่เป็น พระอนาคามี จิตจะเป็นประกายเกือบหมดดวง จะมีส่วนเหลือที่ไม่เป็นประกายอยู่อีกนิดหน่อย เป็นแกนราว ๑ ในสี่ของดวง
จิตของท่านที่ได้บรรลุเป็น พระอรหันต์ แล้วนั้น จิตของท่านเป็นประกายคล้ายดาวประกายพรึก ระยิบระยับ สว่างมากทั้งดวง ลอยอยู่ในอก และลักษณะจิตที่เป็นดาวประกายพรึกแบบนี้แหละ ที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดา ครู อาจารย์ ท่านแนะนำให้เราผู้เป็นนักปฏิบัติทุกคน แสวงหามาครองครองเป็นของตนให้ได้เพื่อความพ้นทุกข์
อทิสสมานกาย หรือ กายใน ของคนก็มีสภาพคล้ายกับจิต จะปรากฏตามบุญบารมีความดี ที่ตนเองได้สั่งสมเอาไว้ ซึ่งท่านแบ่งออกไว้เพื่อความเข้าใจเป็น ๕ ระดับ ต่อไปนี้
กายอบายภูมิ ท่านบอกว่ามีลักษณะคล้ายคนขอทาน ร่างกายซูบซีด เศร้าหมอง อิดโรย ถ้ากายในของใครเป็นไปในลักษณะนี้ ตายแล้วก็ต้องไปอบายภูมิ
กายมนุษย์ มีรูปร่างค่อนข้างผ่องใส ลักษณะเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบ แต่ว่ากายมนุษย์นี้จะมีส่วนสัด ผิวพรรณ ความงามต่างๆกันไป บุคคลที่มีกายแบบนี้ ตายแล้วจะเกิดเป็นมนุษย์อีก
กายทิพย์ คือ กายเทวดาชั้นกามาวจรสวรรค์ เป็นภุมเทวดา รุกขเทวดา หรือ อากาศเทวดา ตามแต่จะเรียก จะมีรูปร่าง ความผ่องใส เครื่องประดับกายแพรวพราว สีสันและความงามต่างกันตามบุญบารมีรัศมีกำลังฤทธิ์ ท่านที่มีกายในกายแบบนี้ ตายแล้วจะไปเป็นเทวดาในสวรรค์เขตต่างๆ กัน
กายพรหม มีลักษณะคล้ายกายทิพย์ของเทวดา แต่ผิวกายละเอียดกว่า ใสกว่าคล้ายแก้ว เครื่องประดับเป็นสีทองล้วน แลดูเหลืองพราวไปหมดทั้งตัว รวมทั้งมงกุฎที่สวมใส่ด้วย ผู้ที่มีกายลักษณะนี้จะเกิดเป็นพรหม
กายแก้ว หรือ ธรรมกาย เป็นลักษณะกายของพระอรหันต์ ซึ่งบางท่านเรียกว่าเป็น วิสุทธิเทพ เราจะเห็นเป็นประกายพรึกทั้งองค์ ใสสะอาดยิ่งกว่ากายพรหม ทั้งผิวกายและเครื่องประดับกายล้วนเป็นแก้วใส ประกายระยิบระยับทั้งหมด ดูตื่นใจสุขสบายตายิ่ง ท่านที่เป็นเจ้าของอทิสสมานกาย ที่เป็นกายแก้วนี้ ตายแล้วไปนิพพานทันที
ข้อควรสังเกตมีอยู่ว่า กายในระดับ ๑ ถึง ๔ นั้น ยังมีการเปลี่ยนแปลงไปได้ตามบุญหรืออกุศลกรรมที่ตนทำต่อไปอีก จนกว่าจะตาย และถ้าก่อนตาย กายในกายปรากฏให้เห็นเป็นแบบใด ผู้นั้นจะไปเกิดเป็นแบบนั้น
และการ ขอดู กายในกาย หรือการใช้เจโตปริยญาณนั้น พึงระมัดระวัง อุปาทาน การประเมินล่วงหน้า การขอดูกายในข้อ ๕ ของพระอรหันต์นั้น ยากอยู่ ต้องรอบคอบ และระวังปฏิบัติให้ถูกวิธี และพิจารณาถึงการควรหรือไม่ อย่างไรด้วย
หลวงพ่อฤาษี ท่านย้ำเตือนอยู่เสมอว่า การรู้จักใช้เจโตปริยญาณนั้นมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะการดูให้ รู้อารมณ์จิตของตนเอง สำคัญที่สุด เพื่อจะได้แก้ไข สกัดอารมณ์ที่เป็นกิเลสอุปกิเลส ไม่ให้เข้ามาพัวพันกับจิต ล้างสีทุกอย่างออกไป อย่าให้ปรากฏแก่จิต อันดับแรก ให้เหลือเพียง สีใสคล้ายแก้วทั้งแท่ง และต่อไปเพื่อความสุขอันถาวร ต้องให้ จิตเป็นประกายได้หนึ่งในสี่ของดวงเป็นอย่างน้อย แล้วค่อย ๆ พัฒนาให้ จิตเป็นประกายพรึก ในที่สุด
ถึงตอนนี้ก็ใคร่ขอกล่าวซ้ำว่า สิ่งสำคัญที่ครูอาจารย์ท่านกล่าวไว้ สำหรับผู้ที่เรียนรู้ในหมวดวิชชา มโนมยิทธิ นั้น ถ้ายังต้องหลับตาภาวนาเป็นนาน ก่อนการรู้เห็นใด ๆ จะต้องหมั่นฝึกซ้อมให้คล่อง ลืมตารู้ได้ เห็นได้ สัมผัสได้ ทุกขณะที่ปรารถนาจะรู้เห็น และอย่างถูกต้องด้วย จึงจะนับว่าใช้ได้
นอกจากนี้ การปฏิบัติพระกรรมฐานแบบนี้นั้น “…อย่างน้อย ๆ ต้องทำให้ได้ถึงขั้นศึกษาธรรมะจากครูอาจารย์ที่ไม่มีขันธ์ ๕ ได้ด้วย” ไม่ใช่คอยเกาะติดตำรา และกายของครูอาจารย์ เพราะการทำเช่นนั้นไม่ช่วยใครได้
นั่นหมายความว่า ต้องพากเพียรทำทิพจักขุญาณให้เกิด ฝึกฝนจนคล่อง สามารถพบเห็นพระพุทธเจ้า และพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ละทิ้งขันธ์ ๕ ไปแล้วได้ และรับคำแนะนำสั่งสอนจากท่านเหล่านั้นที่มาสงเคราะห์ได้ด้วย
การปฏิบัติพระกรรมฐานในหมวดนี้ เป็นการ “ฝึกใจ” มิได้มุ่งฝึกกาย ผู้ที่มีอิทธิบาท ๔ มีความพยายามและศรัทธาจริง ในวิชชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช้าหรือเร็วย่อมกระทำได้สำเร็จ.

ส่งท้าย
เวลาไม่เคยรอใคร ท่านจงกระทำเสียแต่เดี๋ยวนี้ เพื่อความไม่ประมาทเถิด ขออาราธนาบารมี องค์สมเด็จพระบรมสุคตทุก ๆ พระองค์ นับตั้งแต่องค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธสิขีทศพล หลวงปู่ปาน ครูอาจารย์ ท่านเจ้าของวิชชา และหลวงพ่อฤาษี ขออำนาจบุญบารมีทุกๆพระองค์ โปรดสงเคราะห์เหล่าสาธุชนพุทธบริษัท ผู้ตั้งใจปฏิบัติในหมวดนี้ ได้สมมโนเจตนาเทอญ.
— จบ มโนมยิทธิ โดย สุนิสา วงศ์ราม —

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น