การฝึกด้วยตนเอง
การฝึกด้วยตนเอง สำหรับผู้เคยฝึกแล้ว
สำหรับผู้ที่เคยฝึกแล้ว ย่อมมีกำไรจากประสบการณ์การแนะนำของครู ถ้ารู้จักจดจำเอาอารมณ์ระหว่างที่ครูสอน ฝึกฝน ไปต่อเองที่บ้านให้คล่องตัว
ฉะนั้น เวลาที่ครูเข้าไปแนะนำ เราต้องจำคำครู เราสามารถเคลื่อนไปสู่สวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพาน ไปนรก ด้วยอารมณ์แบบไหน ต้องจำอารมณ์แบบนั้น ทรงอารมณ์อย่างนั้นไว้เป็นปกติ ไม่ต้องไปพลิกแพลงให้พิสดาร ไม่ต้องอวดฉลาดเกินครู
บุคคลที่ฉลาดจริง ๆ ครูแนะนำครั้งเดียว สอนเพียงครั้งเดียว จำได้ตลอดชีวิตว่า
๑.อารมณ์ใด ที่ทำให้ใจของเราดี สามารถทรงจิตเป็นสมาธิได้ ไม่มีนิวรณ์รบกวนจิต
๒.อารมณ์จิตที่ละเอียด สามารถทำจิตให้เป็นทิพจักขุญาณ สามารถรู้เห็นสภาวะต่าง ๆ ที่เราไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่า ด้วยอาการอย่างไร ต้องจำอารมณ์นั้นไว้
๓.เราใช้กำลังใจแบบใด ครูแนะนำแบบไหน เราจึงไปสู่พระจุฬามณีเจดียสถานได้นั้น พิจารณาแบบไหน ตัดอะไรจึงไปนิพพานได้ เราต้องจำ เช่นเดียวกับการไปนรก ตามแบบฉบับ ครูแนะนำอย่างไร จึงไปได้ จดจำวิธีการไว้ และฝึกซ้อมปฏิบัติตามนั้น
วิธีการปฏิบัติ ท่าน ห้ามเปลี่ยน ห้ามพลิกแพลง จนกว่าเราจะมีอารมณ์คล่องตัว อย่างที่เรียกว่า “จิตทรงฌานได้ตลอดวัน” มีศีลบริสุทธิ์ จิตเป็นสมาธิตลอดเวลา ใช้วิปัสสนาญาณได้ทุกลมหายใจเข้าออก หรือตลอดเวลา
ท่านกล่าวว่า ทั้ง ๓ อย่างนี้ (ศีล สมาธิ วิปัสสนาญาณ) ต้องเสมอกัน ถ้าทำได้อย่างนี้ อาการรู้ การไป จะเป็นไปได้ทันที ไม่ต้องมีการบังคับจิต เพราะจิตพร้อมอยู่แล้ว
การปฏิบัติ ต้องมีความขยันหมั่นเพียร ต้องใช้สติสัมปชัญญะคุมใจไว้เสมอว่า อารมณ์ใดที่ทำให้เรามีอภิญญา มีวิชชาสาม ต้องคุมอารมณ์นั้นไว้ การปลดเปลื้องจิตที่ติดในร่างกายของเราก็ดี ในร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี ติดอยู่ในวัตถุธาตุก็ดี อย่าให้มีอารมณ์อย่างนี้เกิดขึ้น
เมื่อฝึกฝนให้เป็นปกติได้อย่างนี้ เราจะใช้จิตได้แบบสบายๆ ต้องการไปไหน รู้อะไรเมื่อไรก็ได้ แบบนี้จึงจะเรียกว่า เป็น ผู้ทรงฌาน
หมั่นระลึกไว้ว่า การแก่เป็นทุกข์ ป่วยไข้ไม่สบายก็ทุกข์ พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์ มันเป็นทุกข์ของขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ของคนโง่
เมื่อรู้ว่า ร่างกายเป็นต้นเหตุของทุกข์ อะไรเป็นทุกข์ คนฉลาดย่อมไม่ยอมให้ใจเป็นทุกข์เศร้าหมองไปด้วย เพราะรู้อยู่ว่า เกิดมาเพื่อแก่ เกิดมาเพื่อเจ็บ เพื่อตาย เพื่อพลัดพรากจากของรักของชอบใจ
หน้าที่ ของการเกิด เป็นอย่างนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้น ต้องรู้จัก วางเฉย ทำใจสบาย ๆ งานทุกอย่างถือว่าเป็นเพียงหน้าที่ อารมณ์ใจต้องไม่หวั่นไหว เพราะเราเกิดมาเพราะความโง่เป็นปัจจัย จิตเป็นทาสของกิเลส คือ ความเศร้าหมอง เป็นทาสของตัณหา คือ ความอยาก หลงติดในอุปาทาน คือ อารมณ์ยึดมั่นว่าการเกิดจะทรงตัว และแรงอกุศลกรรม หนุนส่งให้มีความโง่ แต่ว่าเราจะไม่ยอมโง่อีกต่อไป
เวลานี้เราได้พบพระพุทธเจ้าแล้ว เรามีบุญใหญ่ เราพบพระธรรม คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทำให้เราเข้าถึงพระนิพพาน พระอรหันต์ทั้งหลายที่ไปนิพพานแล้วนับไม่ถ้วน ก็ปฏิบัติแบบนี้
ฉะนั้น นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป (ตัดสินใจว่า) เราจะไม่อาลัยในชีวิตและร่างกายของเรา เราจะไม่สนใจในร่างกายของบุคคลอื่น เราจะไม่สนใจในวัตถุธาตุใดๆ เราจะทำจิตให้ผ่องใส ตั้งใจมุ่งเฉพาะพระนิพพาน ถ้าบังเอิญร่างกายจะตาย ขณะเวลาที่เรานั่งกรรมฐานก็ยิ่งดีใหญ่ เราจะได้ไปพระนิพพานเลย
ตอนภาวนา ก็ให้ทำแบบสบายๆ อย่าเร่งรัดจนเกินไป อย่าคิดมาดหมายว่าจะเอาดีในวันนี้ ในตอนนี้ให้ได้ อย่างนี้เป็นอุทธัจจะ ทำไม่ถูกต้อง เราต้องทำใจของเราให้ดี ให้มีจิตบริสุทธิ์ มีสมาธิทรงตัว มีวิปัสสนาญาณ ปลดเปลื้องร่างกายภายนอกภายใน มีใจพร้อมจะไปนิพพาน เมื่อร่างกายมันพัง
สำหรับปัญหาเรื่องการทรงสมาธินั้น ท่านแนะนำว่า ต้องฝืนอารมณ์ให้ได้ โดยพยายามจับภาพพระพุทธรูปเอาไว้ จะให้อยู่ที่ใดก็ได้ เอาไว้ในอก ในสมอง ที่หน้าผาก บนศีรษะ ที่ศูนย์กลางกาย จะให้อยู่ข้างในกาย นอกกายก็ได้
ประการสำคัญ ท่านบอกว่า ทุกครั้งที่นึกถึงพระพุทธรูป ควรให้เห็นภาพชัดเจน แจ่มใส ยิ่งเห็นเป็นแก้วใสประกายพรึกยิ่งดี และควรบังคับจิตให้เห็นภาพพระพุทธรูปได้ทุกเวลา ตอนใหม่ ๆ อาจจะยังไม่เห็นเป็นประกายพรึก จะเป็นสีเหลือง สีขาว สีใดก็ได้ ตามชอบ แต่ต่อ ๆ ไปควรพยายามให้เห็นเป็นประกายพรึกให้ได้
ถ้าเราสามารถ บังคับจิตให้เห็นภาพพระพุทธรูปได้ชัดเจน ได้ทุกอิริยาบถของเรา สามารถเห็นได้ เป็นปกติอย่างนี้แล้ว ฌานของเราจะทรงตัว ไม่เสื่อม และความแจ่มใสของจิตจะทรงตัวด้วย
การควบคุมอารมณ์จิตของเราให้เป็นฌานนั้น คือ ให้จิตเห็นภาพพระพุทธรูป ในขั้นนี้ควรกระทำให้เป็นปกติ และกระทำได้ทุกอิริยาบถ ไม่มีกฎข้อห้ามใด ๆ นั่ง นอน ยืน ดิน วิ่ง ขณะทำงาน ใช้อารมณ์แบบเดียวกับตอนนั่งสมาธิ ใครถนัดอิริยาบถแบบไหน ก็ใช้แบบนั้นได้ ไม่ต้องรอเลือกสถานที่ ไม่ต้องรอเวลา แม้ขณะอยู่ในห้องน้ำ อยู่ในส้วมก็ทำได้
เรื่องการเห็นชัดเพียงใด ต้องอาศัยวิปัสสนาญาณขณะปฏิบัติ ถ้าวิปัสสนาญาณดี จนจิตเข้าถึงระดับพระอริยเจ้า ขั้นสกิทาคามี หรืออนาคามี จะเห็นภาพได้ชัดเจน ถ้ากำลังจิตตอนนั้นถึงระดับพระอริยเจ้าขั้นพระอรหันต์ จะมีความสว่างมาก รู้เห็นชัดเจน ละเอียดถี่ถ้วน คล้าย ๆ กับมองด้วยตาเนื้อ
ผู้ที่เคยไปถึงแดนพระนิพพาน เคยกราบองค์สมเด็จพระพิชิตมารบนพระนิพพาน หรือในพระจุฬามณีเจดียสถาน ควรรวบรวมกำลังใจ นึกถึงพระพุทธเจ้า และจับภาพพระพุทธเจ้าที่เคยเห็น ณ ที่นั้นเลยทีเดียว ไม่ต้องกำหนดพระพุทธรูปก็ได้ ทรงอารมณ์ใจให้เป็นสุขแจ่มใส แล้วรวบรวมกำลังใจ พุ่งขึ้นไปพระจุฬามณี กราบพระพุทธเจ้าในที่นั้นก่อน
หรือบางท่านที่ติดใจพระนิพพาน ก็ไปตั้งต้นที่พระนิพพานก่อนก็ดี ที่วิมานของตนเอง หรือของพระพุทธเจ้า แล้วแต่ความชอบของจิต ต่อไปจึงไปสถานที่อื่นๆ ตามสะดวกข้อควรสังเกตเอาไว้ คือว่า ถ้าเราเห็นพระพุทธเจ้าแค่องค์เดียว นั่นสมาธิของเรายังแคบอยู่ ยังไม่ดีพอ ฉะนั้น ท่านจึงสอนว่า ถ้าจะไปที่ใดจุดใด ให้ระลึกถึงบารมีพระพุทธเจ้า อธิษฐานจิตขอเห็นทั้งหมด ว่าสถานที่นี้ มีใครบ้าง มีอะไรบ้าง เราก็จะเห็นได้หมดอย่างถูกต้อง และมีความสว่างพอสมควรอีกด้วย เพราะบารมีองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้าช่วย.
การท่องเที่ยว
เมื่อเราได้ มโนมยิทธิ หรือมี ทิพจักขุญาณ และสามารถทรงสมาธิจิตได้ดีพอสมควรแล้ว ครูจะนำท่องเที่ยวไปตามภพต่างๆ สถานที่ต่างๆ ทั้งใกล้หรือไกลได้ทั้งหมด แม้ดวงดาวต่างๆ ที่อยู่ห่างออกไปหลายล้านปีแสง เราก็รู้ได้ ไปได้ เห็นความเป็นไป เป็นมา ที่แท้จริงของเขาได้ ตามสภาพความเป็นจริง
โดยที่ท่านไม่ต้องอาศัยยานพาหนะแบกเอากายหยาบ ขันธ์ ๕ ของท่านไป เพียงแต่ท่านใช้กำลังจิตที่ฝึกฝนดีแล้ว ตามหลักสูตรของพระพุทธเจ้าดังกล่าวข้างต้น อทิสสมานกายของท่านจึงสามารถไปได้ รู้ได้ และเห็นได้
ท่านอยากรู้ อยากเห็น อะไร ไปที่ไหน ใคร สภาพอย่างไร นรกขุมไหน สัตว์นรกรูปร่างอย่างไร ทัณฑกรรมแบบไหน ต้องทัณฑ์นานเท่าใด เพราะกรรมอะไร ท่านพญายมราชรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร สำนักพญายมอยู่ที่ไหน ลักษณะอย่างไร สวยงามหรือไม่ รู้ได้ ไปเห็นได้ สนทนาซักถามกับท่านได้ หรือว่าญาติที่ตายไปแล้วอยู่ในนรก ก็ขอพบได้เช่นกัน
ท่านสามารถไปเที่ยวชมสวรรค์ทุกชั้น พรหมทุกชั้น และแดนนิพพาน ที่หลายคนเขาว่า“สูญ” ไปสำรวจดูว่า “พรหมลูกฟัก” มีจริงไหม ไปดูพระอินทร์ว่า มีกายสีเขียวจริงไหม ไปตรวจสอบว่าเทวดาติดในกามสุข มีเมียเป็นร้อยเป็นพันจริงไหม ฯลฯ จะไปดูว่ามีทรัพย์ในดิน ใต้ดิน ที่ไหนก็ได้
สำหรับวิธีการไปนั้น เมื่ออยากไปในที่ใด ท่านให้จับภาพองค์สมเด็จพระชินสีห์ ให้ชัดเจน แจ่มใส แล้วเอาอทิสสมานกาย ออกไปกราบพระองค์ท่าน ขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์ ทรงโปรดสงเคราะห์นำเราไปกล่าวโดยสรุป “การที่ท่านจะไปท่องเที่ยวได้นั้น ต้องคล่องใน ทิพจักขุญาณ หรือ มโนมยิทธิ ไม่มีนิวรณ์ ทรงสมาธิได้นาน และการไปในทุกที่ ต้องขอบารมีพระพุทธเจ้าทรงนำไปทุกครั้ง”.
ญาณ ๘
เมื่อมีความคล่องตัวใน ทิพจักขุญาณ หรือ มโนมยิทธิ อันเป็นฐานสำคัญแล้ว ท่านสามารถขอรับการฝึก ความรู้พิเศษ คือ ญาณ ต่าง ๆ อีก ๗ ญาณ นอกเหนือจากการแนะนำให้ท่านรู้จักและท่องเที่ยวไปในที่ต่าง ๆ
ญาณ ๘ ประการ อันเป็นความรู้พิเศษ ได้แก่
๑.ทิพจักขุญาณ การมีความรู้สึกทางใจ คล้ายตาทิพย์ ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น
๒.จุตูปปาตญาณ การใช้ทิพจักขุญาณ ให้รู้เห็นการเกิดการตายของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย อันเป็น แก่นของพระศาสนา เป็นต้นว่า รู้ว่า คนที่เราเห็นนี้ ก่อนเกิดมาจากไหน มาจากนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา หรือพรหม ได้ยินข่าวคนตาย สัตว์ตาย เราจะรู้ได้ทันทีว่า เขาตายแล้วไปไหน ไปเกิดที่ใด
๓.ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณอันเป็น กระพี้ ของพระศาสนา คือการรู้ระลึกชาติของเราเอง ว่าเราเคยเกิดเป็นอะไรมาบ้าง กี่ครั้ง กี่วาระ เคยเกิดในดินแดนดีเลวอย่างไรมาบ้าง เคยเกี่ยวดองกับใคร เป็นอะไรกันมา เคยตาย ๆ เกิด ๆ กี่ครั้ง กี่วาระ เรารู้ได้ การรู้อย่างนี้จะเป็นปัจจัยให้ปล่อยวาง เห็นความไม่เที่ยง เกิดนิพพิทาญาณได้ง่าย
๔.เจโตปริยญาณ การรู้จิตใจผู้อื่น การดูสภาพของจิตของอทิสสมานกายของผู้อื่น (และแม้ของตัวเอง) เพื่อการสำรวจ การกำจัด การลดละกิเลส ว่า คนที่เราเห็นหน้าหรือเราได้ยินชื่อ เขามีอารมณ์จิต ดีหรือเลว มีจิตเป็นบาปหรือเป็นบุญ ได้ฌานสมาบัติหรือเป็นพระอริยเจ้าแล้วหรือเปล่า เขาคิดอะไรอยู่
๕.อตีตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอดีต รู้จักภูมิประเทศว่าที่นี้เคยเป็นอย่างไรมาก่อน สมัยใด มีบ้านเรือนไหม เป็นประเทศเขตชื่อใด สภาพเป็นอย่างไร ฯลฯ รู้เรื่องของคน ของสัตว์ เรื่องของพื้นที่ และเรื่องของเราเองที่เกี่ยวข้องกับบุคคลและสถานที่นั้นในอดีต เราทราบได้
๖.อนาคตังสญาณ รู้เหตุการณ์ในอนาคตของเรา ของบุคคลอื่น รู้เรื่องประเทศชาติ เรื่องของโลก รู้ได้ว่ามีความสุข หรือจะมีความทุกข์ รู้จนกระทั่งว่าถ้าตายจากชาตินี้ เราจะไปเกิดที่ไหน คนนั้น ๆ จะไปเกิดที่ใด ชีวิตข้างหน้าจะทำมาหากินอย่างไร เราก็ทราบและพยากรณ์ได้ โดยอาศัยญาณนี้
๗.ยถากรรมมุตาญาณ เป็นปัจจัยให้เรารู้เหตุแห่งความสุขความทุกข์ ทั้งของตนเองและผู้อื่นได้ เช่น เราจนเพราะอะไร มั่งมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย มีสุขเพราะอะไร มีทุกข์เพราะอกุศลกรรมใดให้ผล เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องทนทุกข์ทรมาน เพราะเราทำกรรมใดไว้อย่างไร ถูกเขาคดโกง ถูกภัยธรรมชาติ ทรัพย์สินเสียหาย เพราะกรรมใดมาสนอง ทำไมบริวารจึงไม่เชื่อฟังเรา ฯลฯ
๘.ปัจจุปันนังสญาณ รู้กาลปัจจุบัน คือ ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ใครอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ เหตุการณ์ดีหรือร้าย อย่างไรและทำไม เราทราบได้
การฝึก ญาณ ๘ หรืออีก ๗ ญาณดังกล่าวข้างต้น ถ้าท่านมีครูแนะนำให้ ก็ทำตามได้โดยไม่ยาก เพราะท่านมี มโนมยิทธิ หรือ ทิพจักขุญาณ อันเป็นฐานสำคัญแล้ว ฝึกฝนตามคำแนะนำของครูไปเรื่อย ๆ และจดจำวิธีการเอาไว้ซักซ้อมเอง
ในกรณีที่ท่านจะฝึกเองที่บ้านก็เช่นเดียวกัน เมื่อได้ทิพจักขุญาณแล้ว ท่านอยากรู้ ในเรื่องใด ญาณใด ให้ทำจิตเป็นสมาธิเป็นฌาน กราบองค์สมเด็จพระพิชิตมาร แล้วนั่งตรงหน้าพระองค์ จับภาพของพระพุทธองค์ ให้ชัดเจนแจ่มใสที่สุด ต่อจากนั้น ท่านอยากรู้เรื่องใด ให้ทูลถามพระองค์ได้ อยากไปที่ใด ท่านก็สามารถขอให้องค์สมเด็จพระพิชิตมาร ทรงนำไปได้ทุกที่
การรู้เห็นนั้น ท่านจะขอให้พระพุทธองค์ทรงทำภาพให้เห็นตามความเป็นจริงด้วย พร้อมกับรับทราบคำตอบ ทั้งเรื่องอดีต ปัจจุบัน อนาคต จะลี้ลับแค่ไหน แม้มนุษย์โลกทั่วไปในปัจจุบัน ยังไม่รู้ วิทยาศาสตร์ยังก้าวไม่ถึง แต่ด้วยพุทธานุภาพและความสะอาดของจิตผู้รับ (ตัวผู้ปฏิบัติเอง) จะรู้ได้ เห็นได้ ในสิ่งต่าง ๆ ที่ “เหลือเชื่อ” หรือเกินวิสัยสำหรับหลาย ๆ คนกล่าวอีกนัยหนึ่ง อยากรู้อะไร ให้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระประทีปแก้วทุกครั้ง อย่าใช้กำลังใจความรู้สึกของตนเอง จะผิดพลาดได้ ผู้ที่มีทิพจักขุญาณแล้ว จงจำและทำตามที่ใคร ๆ เขาว่า “อะไรๆ ก็ถามพระพุทธเจ้า” เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของท่านเอง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น