วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การฝึกตัองมีครูชี้แนะ


การฝึกที่ต้องมีครูชี้แนะ
การฝึกแบบนี้ เมื่อสมาทานพระกรรมฐานแล้ว หรือก่อนเริ่มการปฏิบัติ หลวงพ่อฤาษี ท่านจะให้ธรรมะ (ที่บางท่านอาจจะเรียกว่าเทศน์) เป็นแนวทางปฏิบัติ ให้ทุกคนเข้าใจเสียก่อนประมาณ ๑๐ นาที สำหรับบางทีหรือบางครั้งที่หลวงพ่อท่านไม่ว่าง ก็อาศัย เทปคำสอนของหลวงพ่อท่านมาเปิด ให้ผู้ตั้งใจปฏิบัติได้รับฟังแทน ทั้งแบบประยุกต์เต็มกำลังและครึ่งกำลัง
การฝึกแบบนี้ หลวงพ่อท่านจัดให้ ครู เข้าไปแนะนำตามหลักสูตรประยุกต์ เพื่อหวังผลรวบรัด ช่วยให้ผู้เรียน ปฏิบัติได้ผลเร็ว ท่านบอกว่า ถ้าให้ปฏิบัติเอง ของบางคนใช้เวลาตั้ง ๒๐ ปี ก็ยังไม่ได้
ข้อแตกต่าง ระหว่างการไปหรือการรู้เห็น แบบครึ่งกำลัง และ เต็มกำลัง นั้น ท่านบอกว่าการไปแบบครึ่งกำลัง คล้าย ๆ กับไปในเวลากลางคืน มืดบ้าง สว่างบ้าง ไม่แน่นอน ส่วนการไปแบบเต็มกำลัง นั้น เหมือนกับ ตัวเราไปเอง เห็นชัดมาก
ข้อที่เหมือนกัน ก็คือว่า จิตยังเชื่อมโยงกับประสาทอยู่ตามเดิม ร่างกายยังรู้ตัวอยู่ พูดได้รู้เรื่อง และโต้ตอบกันได้.

การฝึกแบบครึ่งกำลัง
หลังจากได้รับฟังการแนะนำเพื่อการฝึกมโนมยิทธิ จากหลวงพ่อฤาษี (หรือจากเทปคำสอนของท่าน) ประมาณ ๑๐ นาทีแล้ว ผู้ขอรับการฝึกตั้งใจภาวนาว่า นะมะ พะทะ เท่านั้น หายใจเข้าว่า นะมะ หายใจออกว่า พะทะ เวลาภาวนา ให้จิตจดจ่อที่คำภาวนาเฉย ๆ และรู้ลมหายใจเข้าออกด้วย รู้คำภาวนา นะมะ พะทะ ด้วย ประมาณ ๑๐ นาที หรือจนกว่าจิตสงบ
ขณะภาวนา พยายามอย่าให้ขัดกันกับลมหายใจ ปล่อยอารมณ์ตามสบาย อย่าให้เหนื่อย ถ้าภาวนาช้าเกินไปก็จะเหนื่อย ถ้าภาวนาเร็วเกินไปก็จะเหนื่อย ถ้ารู้สึกว่าจังหวะใดไม่เหมาะ ก็เปลี่ยนจังหวะเสียใหม่ ให้รู้ลมหายใจเข้าออกแบบสบาย ๆ จิตต้องไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรทั้งหมด ขณะนี้ ซึ่งเป็นระยะที่รวบรวมกำลังใจให้เป็นสมาธิมั่นคง เพื่อให้อภิญญาเกิดในจิตได้ต่อไป
เมื่อจิตสงบเป็นสมาธิมั่นคงแล้ว ครูก็จะเข้าไปแนะนำซักซ้อมความเข้าใจและซักถามต่อไป ขณะที่ครูเข้าไปแนะนำใครหรือกลุ่มใด ให้กลุ่มนั้นเลิกภาวนา เลิกกำหนดลมหายใจ ปล่อยอารมณ์สบาย ๆ ตั้งใจคิดและฟังคำแนะนำของครู
ครูจะแนะนำเรื่องขันธ์ ๕ ทุกข์ ไตรลักษณ์ เป็นต้น เพื่อให้ผู้เรียน ตัดความห่วงใยในร่างกาย รู้และยอมรับความเป็นจริง ฉะนั้น เมื่อครูแนะนำ ซักซ้อม จิตใจของเราต้องน้อมตามไปหาความเป็นจริง ถ้าอารมณ์ของเราตัดไม่ออก ท่านบอกว่า อภิญญาก็ดึงใจเราออกไม่ได้
ผู้เรียนต้องน้อมใจไปตามคำสอนให้เห็นทุกข์ ตั้งใจตัดกิเลส ถ้าตัดกิเลสได้ดี จิตสะอาดมาก จิตจะรับภาพแจ่มใสคล้ายเห็นภาพในทีวีสี ถ้าจิตวางกิเลสได้(เฉพาะเวลา) อย่างกลาง ๆ จิตจะเห็นภาพไม่ชัดเจนนัก ถ้าจิตสะอาดน้อย จะมีแต่ความรู้สึก แต่เห็นภาพไม่ชัด หรือไม่เห็นเลย
ถ้าไม่เห็นภาพ หรือเห็นไม่ชัดเจน ก็ต้องบอกครู ครูจะแนะนำในการตัดกิเลสอีกครั้งหนึ่ง ถ้ายังไม่เห็นภาพอีก นั่นแสดงว่าจิตของท่านเลวเกินไป ไม่ยอมละวางกิเลสแม้ชั่วขณะจิตเดียว อย่างนี้ท่านให้เลิกสอน
ครูจะถามคำถาม ๒ ครั้ง ถ้ายังอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบตามความรู้สึกครั้งแรก มัวแต่ลังเลสงสัย ท่านให้ครูผ่านเลยไป ไม่ต้องแนะนำกันอีก เพราะมีนิวรณ์ ๕ มีวิจิกิจฉาเต็มขั้น เสียเวลาเปล่าทั้งครูและผู้เรียน
ทีนี้ เมื่อครูเห็นว่า ผู้เรียนเข้าใจตามความเป็นจริงได้ จิตสะอาดแล้ว ครูจะสอบถามความรู้สึก สัมผัส หรือ การเห็น ของผู้เรียนต่อไป หน้าที่ของผู้เรียน จะต้องตอบตามที่รู้สึกหรือเห็นในครั้งแรก ทันที อย่าลังเล อย่าสงสัย
รู้สึกอย่างไร ตอบไปอย่างนั้น อย่าอ้ำอึ้ง อย่าอาย อย่ากลัวคนอื่นหัวเราะเยาะ เพราะไม่มีใครเก่ง ใครดีกว่าใคร นอกจากนี้ คำตอบจากความรู้สึกของแต่ละคนอาจเหมือนกัน หรือไม่เหมือนกันก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยประกอบหลายอย่าง
ขณะที่เราปฏิบัติกรรมฐาน จิตเราเป็นทิพย์ จงตอบตามความรู้สึกของจิตได้เลย ต้องมีความกล้าตอบ หลวงพ่อฤาษี ท่านเคยกล่าวเสมอว่า “ยิ่งตอบ การรู้เห็นยิ่งชัดเจนแจ่มใสมากยิ่งขึ้น”
ดังนั้น ท่านจงอย่ากลัวว่าเวลาอ้าปากพูด หรือขยับตัวแล้ว จะตกจากฌาน หรือภาพที่รู้เห็นจะหายไป สมาธิจะหด ไม่ใช่เป็นแบบนั้น ขอยืนยันได้ ต่อให้ท่านตอบเสียงดังขบขันหัวเราะเฮฮา ในสิ่งที่ท่านพบเห็นขณะปฏิบัติกรรมฐาน การใช้ญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามแบบวิธีของหลวงพ่อฤาษีสอน ท่านจะไม่มีวันตกจากฌานเด็ดขาด ดีกว่าการนั่งเฉย ๆ อมภูมิไว้ไม่ตอบครู พวกเราหลายคนพิสูจน์กันมาแล้ว
สำหรับคำภาวนา ขออธิบายแก่ผู้ที่ชอบกังขา ว่าต้องใช้ นะมะ พะทะ เท่านั้น ถ้าจะฝึกตามหลักสูตร มโนมยิทธิ ตามที่พระอาจารย์กำหนดไว้
เหมือนกับท่านที่จะฝึกวิชชา ธรรมกาย ต้องใช้คำภาวนาว่า สัมมา อะระหัง ใครทำตัว“หัวล้านนอกครู” หรือฉลาดรู้ดีเกินครู จะไม่ประสบผลจากการปฏิบัติเลย
ขั้นต่อไป เมื่อจิตของท่านสะอาด ตามกำลังความสามารถในการตัดกิเลสของท่านเองแล้ว ครูจะแนะนำวิธีทำทิพจักขุญาณให้เกิดก่อน ให้เอาจิตหรืออทิสสมานกาย ออกไป รับสัมผัสบุคคล รู้เห็น ท่องเที่ยวไปในบางสถานที่ เช่น ดาวดึงสเทวโลก พระจุฬามณีเจดียสถาน พระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ แดนพระนิพพาน เป็นต้น ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับกำลังความสามารถของผู้เรียนเอง และเวลาเพียงพอหรือไม่
เมื่อได้ขั้นต้น คือ ทำทิพจักขุญาณแล้ว ครั้งต่อไป ครูจะแนะนำ ความรู้พิเศษ และนำท่องเที่ยวในภพต่าง ๆ ดินแดนต่าง ๆ เพื่อซักซ้อมให้คล่องตัว ชมสวรรค์ทุกชั้น พรหมโลก แดนพระนิพพาน นรก เปรต อสุรกาย ดวงดาวต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งสนุกสนานเพลิดเพลิน ได้ความรู้จริงมากมาย เกินกว่าในตำราหรือวิทยาการสมัยใหม่ จะรู้ได้
ท่านที่มีความคล่องตัวในทิพจักขุญาณดีแล้ว ครูจะแนะนำ ญาณ ต่างๆ ต่อไปอีก ๗ อย่าง ดังจะได้กล่าวต่อไป.

ครูฝึก
เพื่อความสมบูรณ์แบบของหนังสือนี้ ผู้เขียนขอกล่าวถึง “ครู” ไว้สักเล็กน้อยด้วย ครู ในที่นี้ มิได้หมายถึง หลวงพ่อฤาษี ต้นตำรับผู้นำวิชชามโนมยิทธิประยุกต์ มาสอนลูกหลานพุทธบริษัท และไม่ได้หมายถึง ผู้ควบคุมการฝึกตามวิธีเดิม
แต่หมายถึง ผู้ที่เคยเรียน และฝึกได้ในมโนมยิทธิแล้ว มีทิพจักขุญาณ หรือคล่องในญาณ ๘ และได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อ ให้เป็น “ผู้แนะนำ” ให้ผู้อื่นรุ่นหลังต่อไปได้และยังมี ผู้ที่ไม่ค่อยคล่อง อีกมาก ที่อยากเป็นครูเขาด้วย
“ใครที่ฝึกได้แล้ว อนุญาตให้แนะนำกันต่อ ๆ ไปได้” หลวงพ่อฤาษี ท่านกล่าวอย่างนี้บ่อย ๆ ดังนั้น วิชชานี้ของท่านจึงไม่มีการหวงห้าม จำกัดเขตแต่อย่างใด
เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนจึงขอกล่าวถึง ครู และบทบาทของครูไว้ด้วย เพราะ ครู นับเป็นส่วนสำคัญในการสอนการฝึกมโนมยิทธิประยุกต์
ครู ต้องมีความดีเฉพาะตัว มีความสามารถในการแนะนำ คนที่เรียนเก่งไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นครูที่ดี มีความสามารถในการถ่ายทอด วิชาความรู้ หรือแนะนำให้แก่ผู้เรียนได้เสมอไป ใช่ไหม?
ครู ในหน้าที่ตามหลักสูตร มโนมยิทธิ นั้น เป็นเพียงผู้แนะนำผู้เรียนให้รู้จักทุกข์ รู้จักอริยสัจ รู้จักละสังโยชน์ โดยเฉพาะข้อต้นคือ สักกายทิฐิ และ แนะนำวิธีปรับอารมณ์ใจของผู้เรียนให้ตรงจุด ให้รู้จักทำจิตให้สะอาดอย่างชั่วคราว ขณะรับการฝึก หรือแบบถาวรถ้ากำลังใจผู้เรียนถึงขั้นปรมัตถ์
ครู จะเป็นเพียงผู้ติดตามดูจิตของผู้เรียน ดูว่ามีกำลังความดีส่วนไหนบ้างของผู้เรียน พอจะนำมาแนะนำช่วยในการฝึกของผู้เรียน ให้ได้ผลรวดเร็วบ้าง เพราะแต่ละคนมีจริตจริยาและความดี การสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน
ครู ไม่มีอำนาจ หน้าที่สะกดจิตผู้เรียน และไม่สามารถช่วยใครให้เห็นให้ได้ทิพจักขุญาณ หรือกลั่นแกล้งไม่ให้รู้เห็น แม้องค์สมเด็จบรมศาสดา “พระอาจารย์ใหญ่” เจ้าของวิชชาทั้งปวง พระองค์ท่านยังไม่ทรงกระทำ ทรงแนะนำว่า “อักขาตาโร ตถาคตา” เราตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก
ฉะนั้น ครู จึงมีหน้าที่เพียงแนะนำบอกกล่าว ตามที่องค์สมเด็จบรมครูทรงสอนไว้ ให้ตรงจุด เฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคลเท่านั้น ใครจะได้หรือไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่และความสามารถของผู้เรียนเอง
ขอย้ำอีกครั้งว่า “การจะทำได้แค่ไหนหรือไม่ได้ ทิพจักขุญาณแจ่มใสหรือไม่เพียงใด ล้วนแต่ความบริสุทธิ์ และความสะอาดของจิตผู้เรียนเองเป็นสำคัญ”
อย่างไรก็ดี ครู ที่ดีที่ช่วยแนะนำผู้เรียนกรรมฐานหมวด มโนมยิทธิ ได้ผลนั้น ในทัศนะของผู้เขียน ครูจะต้องสามารถ รู้วาระจิต ความคิดคำนึงของผู้เรียน และ รู้เห็น ได้ด้วยว่า ศิษย์ผู้นั้น รู้เห็นอะไร แบบไหน ระหว่างการแนะนำหรือสอนอยู่ ถ้าครูเอง ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่คล่อง หรือถนัดแบบสุกขวิปัสสโก จำมาจากตำรา ตามเขาว่า เคยอ่านมามาก รู้มาจากหนังสือ แล้วเอามาแนะนำผู้อื่นที่ฝึกฝนในหลักสูตรนี้ ดีไม่ดีจะพากันเป๋ไปหมด
ครู ต้องสามารถ “ช่วยส่งเสริม” กำลังใจของศิษย์ และ “จับโกหก” ของผู้เรียนบางคน บางหมู่ ที่ท่องจำมาจากตำรา จำคนอื่นเขามาตอบ ให้ได้ด้วย
ครู ควรใช้ถ้อยคำสั้นๆ เข้าใจง่าย ในการแนะนำการตัดกิเลส โดยเฉพาะให้รู้จริงในเรื่อง“ทุกข์” แต่เมื่อแนะนำแล้ว ผู้เรียนยังเห็นว่า โลกนี้ยังเป็นสุขอยู่ละก็ ท่านบอกว่า ให้ปล่อยไปเลย ไม่ต้องสนใจผู้นั้นอีก ให้เลิกแนะนำผู้นั้นได้ แสดงว่าเครื่องรับการสื่อความหมายทางธรรมะของผู้นั้น ยังไม่เปิด พูดเท่าไร ก็เข้าใจกันไม่ได้
การสอนของครูนั้น หลังจากแนะนำการ “ตัดกิเลส” แล้ว ก็เป็นการใช้ “คำถาม”สอบถามความรู้สึก สัมผัส หรือการเห็นของผู้เรียน คำถามที่ดี ต้องไม่ใช่ คำถามนำ การจะตั้งคำถามแบบไหนดี ที่ไม่ใช่คำถามนำนั้น ขึ้นอยู่กับวิธีการ ความฉลาด และเทคนิคของครูแต่ละคนเอง
ครูที่ดีไม่แสวงหาศิษย์ ไม่แสวงหาโลกธรรม ย่อมแนะนำให้ผู้เรียน รู้เห็น และเชื่อมั่นในผลการปฏิบัติ ในพุทธานุภาพ ได้มากกว่า ครูที่ยังหย่อนคุณสมบัติการเป็นครู
และครูประเภทหลังนี้แหละ ที่นำความเสื่อมเสียมาสู่สำนักอาจารย์ ทั้งเป็นเหตุให้ศิษย์คิดผิด ทำผิด หลงผิด ถึงขั้นปรามาสพระรัตนตรัยไปแล้วก็มี
ขอยกตัวอย่าง คำถามนำ ที่มีผู้นำมาบ่นให้ข้าพเจ้าฟัง สักบางข้อ ดังนี้
“เห็นพระพุทธเจ้าไหม ท่านยืนอยู่ข้างหน้าแล้ว”
“ท่านเหมือนพระสงฆ์ ห่มจีวรสีเหลือง นั่นน่ะ เห็นไหม?”
“เห็นตัวเอง แต่งตัวสวยชุดสีเขียวไหม เหมือนชุดลิเกน่ะ?”
“รู้ไหม คุณเคยเป็นลูกของ…มาก่อนนะนี่”
“ถึงพระจุฬามณีแล้วนะ รูปร่างเหมือนพระปฐมเจดีย์ไหม สีทอง สวยนะ?”
“เห็นพระอินทร์ไหม? ท่านเป็นเทวดา ตัวเขียว” …ฯลฯ… อย่างนี้ไม่ถูกต้อง
คำถามที่ดี ควรให้ผู้เรียนคิดหาคำตอบเอาเอง ไม่ควรใช้คำถามที่ตอบได้เฉพาะ “ใช่ ไม่ใช่” แบบนี้จะไม่มีประโยชน์อะไร แทนที่จะถามแบบข้อที่ ๑ ครูอาจจะผูกประโยคใหม่ ให้ผู้เรียนได้เจรจา แสดงความคิดเห็นของตนเองว่า
“เห็นใครอยู่ข้างหน้าบ้างไหม?”
“แต่งกายอย่างไร?”
“ลักษณะอย่างไร?”
“คิดว่าท่านผู้นั้นเป็นใคร?”
“…เคยเป็นอะไรกับคุณมาก่อน?”
การถามนำคล้ายชี้ช่องให้ (บางครั้งอาจจะไม่ถูกก็ได้) เป็นผลให้ผู้เรียนไขว้เขวลังเล ไม่แน่ใจในความรู้สึกครั้งแรกของตน ทั้งยังไม่พยายาม “รับสัมผัส” คอยคิดจ้องจะตอบแต่ว่า“ใช่” ตามครูชี้นำเหมือนเด็กอนุบาลไปเลย
บางคนมาบ่นให้ฟังด้วยว่า เธอนั่งภาวนา ยังไม่รู้เห็นอะไรเลย ครูเข้ามาบอกว่า เธอเห็นนั่นเห็นนี่ เธอเกรงใจครู จึงต้องตอบเออออไปกับครู อย่างที่ครูอยากให้ตอบ เธอบอกว่า ถ้าเธอคัดค้านว่ายังไม่เห็น ก็กลัวครูจะเสียหน้า ครูทำอย่างนี้ เธอจึงเกิดสงสัยไม่มั่นใจ ผลก็คือ เธอก็หายหน้าไป ไม่มาฝึกอีก แล้วออกแสวงหาสำนักอาจารย์อื่น ทดลองต่อไป แบบนี้ก็มี
นอกจากนี้ การถามนำย่อมก่อให้เกิดปัญหา ทำให้ผู้ชอบคิดเกิดการสงสัย และบางครั้งผู้เรียนรู้เห็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ครูบอกอีกอย่างหนึ่ง เพราะครูไม่ละเอียดพอ คิดว่าตนเห็นแบบนั้น อาศัยขาดเทคนิคในการสอน ผู้เรียนจึงเสียผล ถ้าบังเอิญ ผู้เรียนรู้เห็นตรงกับที่ครูถามนำ น่าจะไม่มีปัญหาใดๆ แต่ว่าผู้เรียนขาดประสบการณ์ ยังใหม่ในวงการ คิดไปคิดมา นึกว่าครูสะกดจิต ให้เห็นตาม เลยไม่เชื่อทั้งตัวเองทั้งครู แถมยังลุกลามไปปรามาสวิชชาของพระพุทธเจ้าเข้าอีก เป็นโทษหนักอยู่ตรงนี้
เห็นหรือยังว่า การเป็น ผู้เรียน เพียงปฏิบัติตามคำแนะนำ ฝึกฝนให้ได้เฉพาะตัวนั้น ยากอยู่ แต่การจะให้เป็น ครูที่ดี มีคุณสมบัติ สอนเป็น ไม่ใช่สอนได้ หรือ ได้สอน โดยเฉพาะการสอนธรรมะตามหลักสูตร มโนมยิทธิ นั้น ยากยิ่งกว่า เพราะเป็นเรื่อง “ใหญ่”คือ ถ้าใครทำได้ ก็เป็น กุศลใหญ่ เป็น ธรรมทาน แต่ถ้าแนะนำผิดพลาด นอกตำราของพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นโทษใหญ่ได้เช่นกัน
อีกประการสำคัญ ผู้เป็นครูเขานั้น ตนเองต้องหมั่นปฏิบัติให้ก้าวหน้า โดยเฉพาะด้านวิปัสสนาญาณ การตัดกิเลส อย่าติดในลาภ ยศ สรรเสริญ อันจะดึงใจให้เสียท่าแก่ กิเลสหยาบ และโลกียสุข ที่จะมีตามมา จากผู้ที่กตัญญูบูชาใน “ครู”ของตน
ทีนี้ ถ้าใครพลั้งเผลอ ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือฆราวาส เมื่อมีคำยกย่อง และลาภสักการะ ตามเข้ามา จิตจะฟูขึ้น ๆ จนสำคัญตนผิด คิดว่า “แน่” แล้ว กิเลส ตัณหา กามราคะ จึงพากันมาฉุดรั้ง ให้หลงผิดทางไปอบายภูมิ อย่างนี้มีอยู่มากราย ผู้เขียนพบเห็นบ่อย วิธีที่ดี ที่หลวงพ่อท่านสอนเสมอ คือ เตือนสติตนเองว่า “อย่าคิดว่าตัวเราดี ถ้าคิดว่าเราดีเมื่อไร แสดงว่าเราเลวเมื่อนั้น”
และถ้าเราผู้ที่เป็นครู ระลึกไว้อย่างมั่นคงว่า “ที่เรานำมาสอนผู้อื่นนั้น เป็นวิชชาของพระพุทธเจ้า ของครูบาอาจารย์ ท่านช่วยสงเคราะห์ให้ ไม่ใช่ความสามารถของเราเอง” ก็จะช่วยระงับ “การฟู” ของตนได้บ้าง.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น