วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

การฝึกแบบเต็มกำลัง


การฝึกแบบเต็มกำลัง
การฝึกแบบเต็มกำลังนี้ หลวงพ่อฤาษี ท่านนำมาสอนใหม่ อีกครั้งหนึ่ง เมื่อท่านทราบว่า กำลังใจของบุคคลเข้าถึง และพอจะได้บ้าง เมื่อเดือน กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๘ และฝึกให้แก่ผู้เรียน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขณะนี้ทราบว่า ทางวัดงดฝึกแบบเต็มกำลัง เป็นการชั่วคราวอีก ทั้งนี้ท่านบอกว่า บุคคล “หมดชุด” แล้ว
ผู้ที่มาฝึกใหม่กำลังใจไม่ถึง ฝึกแบบเต็มกำลังไม่ได้ ท่านจึงให้ฝึกแบบ “ครึ่งกำลัง” ต่อไป แต่อย่างเดียว เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเสียกำลังใจขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ผู้ที่สามารถฝึกได้ง่าย ทั้งแบบเต็มกำลัง หรือครึ่งกำลังก็ตาม เป็นผู้ที่“เคยได้” มโนมยิทธิมาก่อนจากอดีตชาติ แต่ผู้ที่เริ่มสนใจเข้าฝึกใหม่ ตามหลักสูตรนี้ โอกาส “ได้” แบบเขานั้นก็พอมีอยู่ แต่ต้องอาศัยความขยันหมั่นเพียรมาก เป็นพิเศษเพราะ “ทุนเดิม” ไม่มี.

วิธีปฏิบัติ
เมื่อเตรียมพร้อม และ มีของบูชาครู ครบแล้ว บูชาพระ รับศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ท่านให้เริ่มต้นปฏิบัติโดยการนั่งหลับตา จะนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ หรือนั่งเก้าอี้ ก็ได้ตามถนัด ฟังคำแนะนำกรรมฐานจากหลวงพ่อฤาษี (ที่วัดท่าซุง) แล้ว พระท่านจะพรมน้ำมนต์ให้ ตอนนั้นท่านต้องทำจิตคิดตัดสินใจว่า
“การเกิดเป็นมนุษย์ เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากนานาประการ มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ขณะทรงตัวอยู่ก็มีความป่วยไข้ ต้องอดทนต่อความไม่ดี ไม่พอใจทั้งหลาย โลกนี้ไม่น่าอยู่ ร่างกายนี้เป็นของเลว น่ารังเกียจ สกปรกโสโครก เป็นปัจจัยทุกข์ เราไม่ต้องการอีก เราต้องการพระนิพพานอย่างเดียว ตายจากชาตินี้เมื่อใด ขอไปนิพพานทันที…” หรือพิจารณาตามคำแนะนำสั่งสอนของหลวงพ่อฤาษีในตอนนั้น
เจ้าหน้าที่ของวัด จะมีกระดาษเตรียมไว้ให้ทุกคน ในกระดาษนั้น เขียนอักขระว่า นะ โม พุท ธา ยะ อันเป็นพระนามของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ คือ พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระพุทธกัสสป พระสมณโคดม และ พระศรีอาริยเมตไตรย์
ท่านให้เอากระดาษนี้ปิดตา แล้วเริ่มต้นภาวนา พนมมืออยู่ระหว่างอก ขอบารมีองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยตรง ขอให้ทรงช่วยให้มีแสงสว่างชัดเจนแจ่มใส ขณะภาวนา ก็ให้พนมมืออยู่ระหว่างอก พอจิตแจ่มใส ลดมือลงวางที่ตักได้
การภาวนาครั้งแรก ให้ภาวนาควบคู่กับจับลมหายใจเข้าออกไปด้วย ต่อมาคำภาวนาจะเร็วขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องไปช่วยเร่ง จิตจะไม่ยึดลมหายใจเข้าออกแล้วตอนนี้ ให้ปล่อยไปตามนั้น ไม่ต้องดึงจิตกลับมาที่ลมหายใจอีก เลิกห่วงลมหายใจได้ คำภาวนาจะเร็วขึ้นเองตามลำดับ
อาการของคนฝึกใหม่บางคนจะเริ่มสั่น มือที่พนมอยู่ตีอก พอผู้ควบคุมการฝึกจับเอามือลงวางบนเข่า ก็จะตีเข่าทั้งสองข้างต่อไป ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น อาการเหล่านี้จะหยุดได้เอง เมื่อจิตเข้าสู่ฌานละเอียดและมั่นคงแล้ว
อาการเต้น การสั่น ตีอก เหล่านี้จะเกิดกับผู้ที่ไม่เคยได้มาก่อนเลย เป็นคนฝึกใหม่ และจะเกิดขึ้นเมื่อจิตรวมเป็นสมาธิ เข้าถึงฌานหยาบ หรือสมาธิจิตยังหยาบอยู่ ขณะฝึกและภาวนาจะมีอาการแสดงออกทางกายต่างๆ กัน เช่น บางคนสั่น บางคนเต้นทั้งตัว บางคนล้มตัวลงนอนบ้าง หงายหลังไปเลยบ้าง ฯลฯ
เมื่อจิตเป็นฌานแล้ว ตอนอทิสสมานกายจะออกไปจริง ก็มีอาการต่าง ๆ กันอีก
-บางคนเห็นแสงสว่าง พุ่งลงมาจากข้างบนเป็นลำแสงยาวสว่างจัด
-บางคนเห็นแสงสว่าง พุ่งจากข้างล่างตรงหน้าขึ้นข้างบน
-บางคนก็เห็นแสงสว่างจ้าเฉยๆในอากาศ
เมื่อเห็นแสงสว่างแห่งใดก็ตาม ท่านให้ตัดสินใจพุ่งจิตหรืออทิสสมานกาย ไปตามแสงสว่าง เมื่อออกไปแล้ว จะเกิดอาการเวิ้งว้าง จงอย่ากลัว ให้นึกถึงพระพุทธเจ้าทันที ขอพระพุทธองค์ทรงโปรดสงเคราะห์ สำหรับบางท่าน ที่เคยได้มโนมยิทธิครึ่งกำลังมาก่อน ท่านอาจนึกถึง พระอาจารย์ ท่านพ่อ ท่านแม่ หรือท่านใดท่านหนึ่ง ที่ตนรักเคารพก็ได้ ขอให้ท่านได้มาโปรดด้วย
เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าหรือท่านที่เราตั้งจิตปรารถนาขอให้ช่วยสงเคราะห์แล้ว ก็ขอให้ท่านพาไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ เช่น พระจุฬามณีเจดียสถาน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ แดนพระนิพพาน กราบนมัสการองค์สมเด็จพระพิชิตมารบนนั้น ชมวิมานของตัวเอง เป็นต้น ความรู้เห็นต่าง ๆ จะชัดเจน ละเอียดลออมาก เมื่อเสร็จสิ้นการฝึก พระท่านจะพรมน้ำมนต์ให้ผู้รับการฝึกอีกครั้งหนึ่ง
การฝึกแบบเต็มกำลังนี้ ท่านบอกว่าจิตจะออกไปด้วยกำลังของฌาน ๔ ซึ่งบางครั้งท่านเรียกว่า “ฌาน ๔ ใช้งาน” จะเห็นได้ชัดเจนมากเหมือนตาเห็น และผู้ที่คล่องใน “มโนมยิทธิ” มีทิพจักขุญาณแล้วนั้น จิตเป็นฌานได้โดยไม่ต้องนั่งหลับตา
ผู้ที่เคยได้แบบครึ่งกำลังแล้ว ถ้ายังไม่เห็นมีแสงสว่างมา ท่านให้จับภาพพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระชินวร พอจับภาพได้ชัดเจนแจ่มใส ให้พุ่งจิตไปนิพพานเลยทันที ไม่ต้องรอแสงสว่าง จะเห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม ก็เท่ากับว่าการฝึกแบบนี้ เพิ่มกำลัง ให้กับผู้ที่เคยฝึกได้แบบครึ่งกำลังด้วย
หลักสำคัญ ๓ ประการ ที่ท่านสนใจจะศึกษาหลักวิชชา มโนมยิทธิ พึงสังวรไว้ เพราะว่าท่านจะได้หรือไม่ได้ดังประสงค์ ๓ ข้อนี้มีส่วนอยู่ คือ
๑.ต้องไม่อยากได้อย่างนั้นอย่างนี้ขณะที่ปฏิบัติ ถ้าอยากได้ จะไม่ได้
๒.อย่าสงสัยในภาพ ในสิ่งที่รู้เห็น ให้ เชื่อ ว่า ที่เรารู้เห็นขณะนั้นเป็นจริง
๓.ต้อง ไม่กลัวตาย ถ้ายังกลัวตายอยู่ แสดงว่าจิตยังเลวอยู่ จะขวางกั้นความดี ด้วยการติดในร่างกายภายนอก
ท่านบอกว่า ถ้าตั้งใจมาปฏิบัติพระกรรมฐานแบบนี้ แม้จะยังไม่ได้อะไรเลย บังเอิญตายไป ตามกฎแห่งกรรม ระหว่างนั้น ด้วยจิตอันเป็นกุศล อย่างเลว ๆ ก็ไปสวรรค์ เสวยสุข สุขารมณ์ ได้อย่างสบาย ๆ ดีกว่าอยู่เป็นคนหลายเท่านัก ถ้าเกิดเบื่อหน่ายร่างกายเข้าด้วย และยังไม่ติดในโลก ขณะฟังคำสอนอยู่ ไม่ห่วงหาอาวรณ์ในทรัพย์สมบัติ และอาการอันเป็นของโลกนี้ ตายไปในตอนนั้น ท่านไปนิพพานได้ทันที
ฉะนั้น ถ้าท่านยังคิดกลัวบ้า กลัวตาย ขณะฝึกหรือปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือเมื่อคิดจะทำกรรมฐาน ก็เท่ากับท่านกลัวได้ดี กลัวความดี เราไม่ว่ากัน ปล่อยไปตามสะดวก ทางใครทางคนนั้น ตามถนัดก็แล้วกันเถิด.

การฝึกด้วยตนเองสำหรับผู้ฝึกใหม่
อันที่จริงแล้ว หลักสูตรวิชชา มโนมยิทธิ ที่ หลวงพ่อฤาษี ท่านเมตตาประยุกต์มาเพื่อสอนให้เหมาะกับบุคคล กับยุคสมัยนั้น ต้องอาศัย ครู เข้าไปชี้แนะ เพื่อเป็นการรวบรัดกำลังใจผู้เรียนให้ได้ผลรวดเร็วและรวบรัด อย่างไรก็ดี ท่านที่ประสงค์จะฝึกซ้อมปฏิบัติด้วยตนเอง อาจจะเป็นด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม ก็น่าจะกระทำได้ ขอแต่ให้มีความตั้งใจจริง อย่าลองเล่น ๆ เท่านั้น ส่วนผลการปฏิบัติจะเป็นเช่นไร ก็แล้วแต่ตัวท่านเอง
ด้วยเหตุผลดังกล่าว อาศัยประสบการณ์ และหลักวิชชา ข้อวัตรปฏิบัติ ที่ได้รับฟังมาจากหลวงพ่อ พอจะประมวลนำมาบอกกล่าวเป็นแนวปฏิบัติ ต่อท่านผู้สนใจใคร่ปฏิบัติได้ด้วยตนเอง ดังนี้
สิ่งแรกที่สุดที่จำเป็นต้องมี คือ “ความตั้งใจจริง” เมื่อตั้งใจจะทำ ก็ต้องมี “ความพร้อม” เป็นขั้นต่อไป ก่อนลงมือปฏิบัติ ดังได้กล่าวแล้วในตอนต้น
เมื่อท่านพร้อมแล้ว ก็ควรสวดมนต์บูชาพระ ณ สถานที่อันควรในบ้านของท่าน ถ้าไม่มีห้องพระเป็นสัดส่วนอย่างน้อย ๆ ท่านควรมีพระพุทธรูปสัก ๑ องค์ ตรงหน้าท่านไว้เป็นเครื่องระลึกถึง แทนองค์พระพุทธเจ้า และเป็นพลังใจให้อุ่นใจ
การสวดมนต์บูชาพระ ขอขมาพระรัตนตรัย และสมาทานพระกรรมฐาน นั้น ให้ปฏิบัติตามที่ระบุไว้ในบทก่อน แล้วนั่งขัดสมาธิหรือนั่งพับเพียบตามถนัด ให้ตัวตรงเข้าไว้ก่อนในตอนเริ่มต้น และให้วางมือขวาทับมือซ้ายบนตักของท่าน ตามแบบฉบับการนั่ง หลับตาพอสบาย ๆ ไม่ต้องบีบเค้นตา
ลำดับต่อไป ให้ใช้ปัญญาคิดพิจารณาตามความเป็นจริงเสียก่อนจะภาวนา เพื่อให้ จิต สบาย ละ วาง กิเลสตัณหาต่าง ๆ โดยเฉพาะ สังโยชน์ ให้เกิดการเข้าใจ รู้เห็น ตามสภาพความเป็นจริงของร่างกาย และของสรรพสิ่งในโลก เช่น
-ร่างกายภายนอกของเรา และของคนอื่น เป็นเพียงส่วนประกอบของธาตุ ๔ มี ดิน น้ำ ลม ไฟ ร่างกายสกปรกเต็มไปด้วยน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง มีสภาพเน่าเหม็น และไม่ทรงตัว มีการเกิดขึ้น มีการเสื่อม และสลายตัวในที่สุด เราเกิดมาเท่าใด ก็ตายหมดเท่านั้น ความคงทนเที่ยงแท้ของสรรพสิ่งในโลกและร่างกาย ย่อมไม่มี
-การเกิดเป็นคนก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะต้องดิ้นรน หาเลี้ยงชีพ ทุกข์เพราะร่างกาย พยายามบำรุงเท่าใด มันก็ไม่ทรงตัว มันก็แก่ ก็ป่วย และทรุดโทรมไปทุกวัน
-มีการพลัดพรากจากของรักคนที่เรารัก ก็เป็นอาการของทุกข์ ปรารถนาแล้วไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ ได้มาในสิ่งไม่พึงปรารถนาก็ทุกข์ ความตายเข้ามาถึงก็ทุกข์ ปวดอุจจาระ-ปัสสาวะก็ทุกข์ ร้อนก็ทุกข์ หนาวก็ทุกข์ ความหงุดหงิดคับข้องใจก็ทุกข์
-เราทุกข์ เพราะการเกิด การมีร่างกาย ร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ การเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม ก็มิได้เป็นสุขจริง เป็นเพียงสุขชั่วคราว เพราะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดตามกฎแห่งกรรมอยู่อีก ก็เป็นทุกข์อีก
-การจะพ้นทุกข์ได้จริง เป็นสุขแท้ ไม่มีทุกข์เจือปนเลย คือ การเข้าสู่พระนิพพาน ประการเดียว ฉะนั้น เราจึงไม่ปรารถนาการเกิดอีก ตายเมื่อไร เราขอไปพระนิพพานทันที
-แบกร่างกาย แบกทุกข์เพราะขันธ์ ๕ ของตัวเองยังไม่พอ ยังไม่ฉลาด แถมไปอาจหาญแบกภาระเอาขันธ์ ๕ ของคนอื่นเข้าด้วย โดยสมมติว่าเป็นภรรยา สามี ญาติพี่น้อง พ่อแม่ ลูกหลาน ตามการสมมติแห่งโลก ก็เป็นการเพิ่มทุกข์ ทั้งผูกทั้งพันธนาการตัวเองเข้าไว้อย่างเหนียวแน่น จึงเป็นผลให้ทุกข์หนักยิ่งขึ้น แต่แล้วก็ช่วยอะไรกันไว้ไม่ได้ ผลที่สุดต่างคนต่างขันธ์ก็แตกดับตายจากไปคนละภพและคนละภูมิ ไม่มีใครยึดสมบัติของโลกเอาไว้ได้เลย ร่างกายของแต่ละคนก็เป็นสมบัติของโลก
ฉะนั้น ผู้ฉลาดปรารถนาในธรรมต้องปล่อยวางขันธ์ทั้งหลายและภาระทางโลก อันเป็นสมมตินั้นลงเสียบ้าง แม้ชั่วขณะฝึกกรรมฐานก็ยังดี อย่าให้จิตกังวลฟุ้งซ่าน อะไรที่เป็นปัญหา หรือความเครียดระหว่างวัน เราจะจับจุดนั้นมาพิจารณาให้เป็นธรรมะ ให้จิตสงบละวางเสียได้ยิ่งดีใหญ่
ถ้าจิตเรามันเลวขึ้นมา ลองคิดด่าตัวเองบ้างก็ได้ว่า “อยากโง่ จึงมาเกิด ไม่รู้จักหลาบจำในทุกข์ แล้วนี่ยังจะโง่ต่อไปอีกรึ…”
การคิดนั้น ท่านพุทธบริษัทจะใช้วิธีใดข้อธรรมะใดมาพิจารณาก็ได้ตามชอบ จะคิดสั้น ๆ อาศัยบทพระอภิธรรม ที่เราได้ยินบ่อย ๆ ก็ได้ว่า
“อนิจจัง วตะ สังขารา อุปาทวยะ ธัมมิโน อุปัชฌิตวา นิรุชฌันติ เตสัง วูปะ สโม สุโขฯ”
จุดประสงค์ของการคิด ต้องการให้อาศัย “วิปัสสนาญาณ” การเห็นทุกข์ เป็นกำลังช่วยให้ทิพจักขุญาณแจ่มใส และอารมณ์คิดก็มีอยู่หลายกอง มีระบุไว้ในตำรา ท่านเลือกหามาพิจารณาได้ตามชอบใจ
ข้อธรรมะที่ท่านเลือกสรรมา ต้องเสริมส่งการ “ตัดขันธ์ ๕” และให้ “เข้าใจในทุกข์” ให้เห็นว่า โลกนี้ไม่มีความหมาย เราต้องการพระนิพพานอย่างเดียว ถ้ายังติดสุขทางโลกอยู่ และเห็นว่าโลกนี้น่าอยู่ ก็ใช้ไม่ได้
หลังจากพิจารณาแล้ว ก็ภาวนา แต่ก่อนจะภาวนา ให้ระลึกถึงครูบาอาจารย์ และองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ขอท่านมาโปรดสงเคราะห์ด้วย
ทีนี้ ท่านให้ใช้คำภาวนาว่า นะมะ พะทะ หายใจเข้าว่า นะมะ หายใจออกว่า พะทะ เวลาหายใจเข้าออก ปล่อยอารมณ์ตามสบาย เบา ๆ ไม่เครียด ไม่ต้องหนัก ไม่เร่งรัด ภาวนาแค่ให้จิตสบาย อย่าให้รู้สึกอึดอัด หรือมึนศีรษะ (เป็นอาการของความเครียด) และอย่าให้จิตเป็นทาสของนิวรณ์
พยายามควบคุมอารมณ์จิต อย่าให้ส่าย ถ้าจิตแลบออกไปคิดเรื่องอื่น จิตฟุ้ง ต้องพยายามดึงกลับมาให้ได้ จะใช้อุบายใด ก็แล้วแต่ปัญญาและจริตของแต่ละบุคคล หาวิธี ชักเย่อ จิตกลับมาให้ได้ ควรใช้เวลาภาวนาประมาณไม่เกิน ๒๐ นาที ถ้าดึงจิตกลับไม่ไหว มันฟุ้งเกินไป ก็ให้เลิกเสียเลย อย่าฝืน
อุบาย ในการทรงจิตให้เป็นสมาธิ ขอแนะนำให้เป็นแนวทางสัก ๒ อย่าง เป็นต้นว่า
ท่านอาจกำหนดตัวอักษร นะมะ พะทะ ให้เด่นชัดตรงหน้าท่าน กำหนดให้เล็กให้ใหญ่ อยู่ใกล้อยู่ไกลตัวท่านสลับกันไป เป็นที่เพลิดเพลินจนลืมปวดเมื่อยก็ได้
แต่ อุบาย ที่เป็นกุศโลบายที่ดีที่สุด ได้ประโยชน์ใหญ่ คือ การกำหนดเอาพระพุทธรูปของท่าน ที่มีอยู่ประจำบ้านนั่นแหละ จะปางใดก็ได้ หมายถึงพระพุทธเจ้าทั้งสิ้น ท่านนึกภาวนาในใจว่า นะมะ พะทะ ไปด้วย จับภาพพระพุทธรูปไปด้วย ควบคู่กันไป นึกภาพพระให้ชัดเจน แจ่มใส เหมือนลืมตาเห็น จะเป็นสีใดก็ได้ ยิ่งเป็นแก้วใส ใสจนเป็นประกายพรึกได้ยิ่งดี แสดงถึงความสะอาดของจิตท่านด้วย
สำหรับท่านที่มีความสามารถในการควบคุมจิตให้เป็นเอกัคคตารมณ์ เป็นสมาธิได้เร็ว โดยไม่ต้องอาศัยอุบาย ก็ดีไปอีกแบบหนึ่ง
ทีนี้ เมื่อจิตเป็น อุปจารสมาธิ แล้ว ท่านที่เคยได้วิชชานี้มาก่อนในอดีตหรือเคยได้ทิพจักขุญาณ จะเกิดการสัมผัสการรู้เห็นด้วยจิต ว่ามีท่านใดมาสงเคราะห์อยู่ใกล้ตัวท่าน หรืออยู่ข้างหน้าของท่าน
ขอย้ำเตือนความจำอีกว่า การเห็นของท่าน จะชัดเจนแจ่มใสเพียงใดหรือไม่ อยู่ที่จิตดี มีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิทรงตัว ไม่ติดในรูปกายของเรา ไม่ติดในร่างกายของคนอื่น และไม่ติดในทรัพย์สมบัติ คือ ต้องมีวิปัสสนาญาณดี
ถ้าจิตของท่านเลยขีดอุปจารสมาธิเข้าถึงฌาน สำหรับท่านที่ไม่เคยได้ จะมีความรู้สึกสบาย ๆ สุขใจอยู่อย่างเดียว ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น บางครั้ง หลับ ไปเลยก็มีอยู่บ่อย ๆ แม้ท่านที่เคยได้แล้ว บ่อยครั้งเมื่อจิตเป็นฌานจะหลับทันที เพราะร่างกายอ่อนเพลีย ต้องการพักผ่อน แต่การหลับแบบนี้มีกำไรสูงมาก
จากหลายวิธีการข้างต้น ข้าพเจ้าขอแนะวิธีลัด เพื่อการฝึกฝนที่อาศัยพระพุทธรูปและการภาวนา
เมื่อท่านภาวนา นะมะ พะทะ จับลมหายใจเข้าออกและกำหนด ภาพนิมิต คือ นึกถึงพระพุทธรูป ที่ท่านชอบไปด้วย (หลายท่านอาจจะระลึกถึงหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค บางท่านก็คิดถึงหลวงพ่อฤาษี) นึกให้เห็นภาพดังกล่าวให้ชัดเจนแจ่มใส
ภาพนิมิตที่กำหนดนั้น จะเปลี่ยนสี เปลี่ยนภาพ หรือไม่ก็ตาม ให้กำหนดเอาความชัดเจนเป็นสำคัญ และถ้าลืมภาวนา แต่จิตใจยังจดจ่ออยู่ที่องค์พระ ก็ไม่ต้องกังวลพะวงถึงคำภาวนาอีก
เมื่อท่านเห็นภาพพระพุทธรูป หรือ “ภาพนิมิต” ตามที่ท่านกำหนดแต่แรก เห็นชัดเจนแจ่มใสอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว ให้กำหนดจิตออกไปกราบนมัสการท่านผู้นั้น หรือพระพุทธรูปทันที
พยายาม “รับสัมผัส” หรือมองดูกายใหม่ อีกกายหนึ่งของท่านที่ออกไปกราบพระพุทธเจ้าอยู่ หรือกราบท่านผู้เมตตามาสงเคราะห์ ตามที่เราระลึกถึงอยู่ ค่อย ๆ พิจารณาอย่าตื่นเต้น ถ้าภาพหายไป ให้ใช้ความรู้สึกสัมผัสแทน ให้ เชื่อ ตาม ความคิดแรก หรือ ความรู้สึกครั้งแรก เสมอ เช่น
คิดหรือเห็นว่า ตัวใหม่ของเราเป็นผู้ชาย แต่กายหยาบเป็นหญิง ก็ให้เชื่อตามนั้น คิดว่าตัวเราแต่งตัวเหมือนละครชาตรี ก็อย่าไปกังขา เชื่อเอาไว้ก่อน ตามนั้นรู้สึกว่า ท่านที่มาสงเคราะห์เคยเป็นพ่อ-แม่ หรือญาติ ก็ให้เชื่อตามนั้น
การค่อยๆ พิจารณาไป จะช่วยให้เพลิดเพลิน สุขใจ ในความรู้พิเศษใหม่นี้และมีสมาธิจิตดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะ การปฏิบัติกรรมฐาน สำคัญอยู่ที่ทำให้จิตเป็นสุข
ขั้นต่อไปถ้ามั่นใจ และ “ใจกล้า” อยากไปเที่ยวที่ไหน ก็ขอให้พระพุทธเจ้าหรือท่านผู้มาสงเคราะห์พาไป หรืออยากรู้อะไร ก็กำหนดจิตถามท่านได้ ส่วนความถูกต้องของการรู้ การเห็นนั้น ขึ้นอยู่กับความสะอาดของจิตของท่านเอง
เมื่อท่านทำได้อย่างนี้เท่ากับว่า ท่านมี ทิพจักขุญาณ หรือได้ มโนมยิทธิ กับเขาบ้างแล้ว เมื่อได้แล้วก็ต้องเพียรรักษาและฝึกฝนไว้บ่อยๆเพื่อความคล่องตัว “ท่าน” บอกว่า ต้องให้ถึงขั้น ลืมตา รู้ เห็นได้ และ ไม่ต้อง “ตั้งท่า” จึงจะพอใช้การได้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น