วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความหมาย


ความหมายของมโนมยิทธิ
“มโนมยิทธิ” แปลความตามตัวอักษรได้ว่า “มีฤทธิ์ทางใจ”
คือ การรู้ การเห็น การสัมผัส ตามความเป็นจริงด้วยใจ

หลักสูตร วิชชา “มโนมยิทธิ” นี้ ปรากฏมีรจนาไว้ในพระคัมภีร์วิสุทธิมรรค ของพระพุทธโฆษาจารย์ เมืองสะเทิมหรือเมืองสุธรรมวดี ซึ่งท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ที่โบราณาจารย์ท่านรับรองไว้แล้ว
ดังนั้น จึงขอยืนยันบอกกล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่า
วิชชา “มโนมยิทธิ” ไม่ใช่วิชานอกรีต นอกพุทธบัญญัติ
มโนมยิทธิ ไม่ใช่โอภาส
โอภาส คือ แสงสว่างเฉย ๆ อันเป็นผลจากการเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนาในหมวดสุกขวิปัสสโก
มโนมยิทธิ ไม่ใช่อุปาทาน
อุปาทาน คือ การคิดเอาไว้ก่อนว่าภาพนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็เห็นแบบนั้นพร้อมทั้งยึดภาพนั้นไว้ไม่ปล่อย
มโนมยิทธิ ไม่ใช่การสะกิดจิต
ถ้าเป็นการสะกดจิต ทุกคนต้องรู้เห็นเหมือนกันหมด และทุกคนที่เรียนพร้อมกัน ต้องทำได้ แต่ความจริงผลไม่เป็นเช่นนั้น บางคนเพียรเป็นปี ๆ ยังไม่ได้ก็มี บางคนเริ่มปฏิบัติครั้งแรกก็ได้แล้ว และความชัดเจนของการรู้เห็นก็แตกต่างกันด้วย
กล่าวโดยนัยแล้ว มโนมยิทธิ เป็นส่วนหนึ่งของ อภิญญา ในพระพุทธศาสนา
ถ้าจะแยกศัพท์แล้ว “ญา” แปลว่า รู้, “อภิ” แปลว่า ยิ่ง หรือ อย่างยิ่ง
ดังนั้น “อภิญญา” ก็มีความหมายว่า
“ความสามารถในการรู้ ยิ่งกว่าอารมณ์ของบุคคลธรรมดา จะรู้ได้”
นั่นคือ บุคคลธรรมดา จะมีความรู้เสมอ ไม่ได้ เช่น เรื่อง ผี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน รู้เรื่อง เทวดา พรหม นิพพาน จนกระทั่งสามารถท่องเที่ยวไปตามภพภูมิต่าง ๆ สถานที่ต่าง ๆ ได้ หรือว่าถ้าอยากรู้อารมณ์จิตของบุคคลใด ใครพูดที่ไหนว่าอย่างไร ใครคิดอย่างไร เราก็รู้ได้
คำว่า “ไม่รู้” ไม่มี ถ้าจิตใจของท่านเข้าถึงอารมณ์ของอภิญญาจริง ๆ และอารมณ์ของอภิญญาจะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องอาศัย สมาธิจิต นั่นคือ ความมีฤทธิ์ทางใจ จะมีแก่ท่านได้ ต้องอาศัยการฝึกจิต กระทำจิตของตนเองให้มีฤทธิ์ มีอำนาจสามารถรู้เห็นด้วยใจ หรือสัมผัสด้วยใจได้ทุกอย่าง ที่พึงรู้และพึงเห็น
เป็นต้นว่า รู้เห็นการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของสัตว์ที่วนเวียนอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ จนกว่าจะออกจากวัฏฏสงสาร สู่แดนพระนิพพานเสียได้ รู้เห็นเหตุอันนำให้ไปเกิด ไปจุติปฏิสนธิ ในภพภูมิต่าง ๆ และรู้ปัจจัยที่นำไปสู่ความหลุดพ้นคือพระนิพพาน
การรู้ เป็นการรู้และรับสัมผัส ด้วยใจ, การเห็น เป็นการรับสัมผัสหรือเห็น ด้วยจิต ที่บางท่านเรียกว่า เห็นด้วยตาใน มิใช่มองเห็นด้วยตาเนื้อ อันเป็นหนึ่งในอวัยวะสุดหยาบของขันธ์ ๕ ร่างกายของสัตว์โลก
การไป ท่องเที่ยวตามแบบ มโนมยิทธิ นี้ มิได้ยกเอากายหยาบไป แต่ใช้ กายใน หรืออทิสสมานกาย ซึ่งมีสภาพเป็นทิพย์ และมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกันไป ตามความสะอาดของจิตของแต่ละบุคคลในขณะนั้น เช่น เป็นมนุษย์ เทวดา พรหม หรือ วิสุทธิเทพ
บางตำราจะเรียก อทิสสมานกาย ว่า จิต แต่ถ้าท่านปฏิบัติพระกรรมฐานในหมวดนี้ได้แล้ว ท่านจะได้รู้เห็นความแตกต่างระหว่าง จิต กับ อทิสสมานกาย ได้ชัดแจ้งว่า จิต นั้นมีลักษณะเป็นดวง ๆ มีความขุ่น ความใส ความแพรวพราวมีสีต่าง ๆ กัน ตามอารมณ์ โลกียะ หรือ โลกุตตระ และเป็นส่วนหนึ่งของ อทิสสมานกาย
อทิสสมานกาย มีลักษณะคล้ายกายมนุษย์ มี หู ตา จมูก ปาก แขน ขา ต่างกันแต่ว่า ไม่มีอวัยวะภายในอันเน่าเหม็น ไม่มีน้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง อุจจาระ ปัสสาวะ
อทิสสมานกาย เบาสบาย คล่องตัว มีเครื่องประดับ เครื่องแต่งกายทั้งหลายเป็นทิพย์ทั้งหมด อันเกิดจากผลบุญกุศลที่ตัวเองทำไว้เอง
ลักษณะของ อทิสสมานกาย ก็แตกต่างกันไป ตามสภาพความสะอาด การปราศจากกิเลสของจิต ดังนั้น แม้ภายนอกเป็นคน แต่ อทิสสมานกาย อาจเป็นได้ทุกอย่างตามสภาพของจิต เช่น สัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน คน เทวดา พรหม และ วิสุทธิเทพ เป็นต้น
และลักษณะของ อทิสสมานกาย นี้ ของแต่ละบุคคล มีสภาพชั่วคราวบ้าง ถาวรบ้าง มีสภาพเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์โลกียะหรือโลกุตตระ ดังกล่าวแล้ว
กล่าวโดยสรุป ผู้ที่ปฏิบัติในหมวดวิชชา มโนมยิทธิ นั้น บางท่านบางคณะ อาจจะรู้ แต่ไม่เห็น บางท่าน รู้ด้วย เห็นด้วย แต่ไม่ชัด, ผู้ที่มีจิตสะอาด มีจิตที่ฝึกฝนดีแล้วเท่านั้น จึงสามารถรู้เห็นได้ชัดเจนเหมือนตาเห็น (หรือเหมือนไปเห็นด้วยตาตัวเอง)เมื่อมีอารมณ์จิตเป็นทิพย์ แต่ไม่ใช่มีตาทิพย์
ตาทิพย์ หรือ ทิพยเนตร นั้น คนมีไม่ได้ จะมีได้เฉพาะเทวดา พรหม และพระอรหันต์ที่เข้านิพพานแล้วเท่านั้น บุคคลที่มีธรรมะแต่ยังทรงขันธ์ ๕ อยู่ จะมีได้เฉพาะ ทิพยจักษุญาณ หรือ ทิพจักขุญาณ(การมีจิตเป็นทิพย์)
ทิพจักขุญาณ เป็นบาทฐานสำคัญในการปฏิบัติพระกรรมฐานตามหลักสูตร “มโนมยิทธิ”หนึ่งในหก อภิญญา ของพระศาสนา.

ต้นกำเนิดของมโนมยิทธิ
วิชชา มโนมยิทธิ ที่พุทธศาสนิกชนทั่วไปกล่าวขานนั้น เป็นหลักสูตรในพระพุทธศาสนา ขององค์สมเด็จพระชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนึ่งใน พุทธศาสตร์ คือความรู้อันเป็น ศาสตร์ ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติขึ้น เพื่อความสุข ความเป็น พุทธะ ที่แท้จริง อันทรงคุณประโยชน์มหาศาลทั้งในปัจจุบันและภายภาคหน้า
มโนมยิทธิ นี้ พระสุธรรมยานเถร หรือ หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี นำมาแนะนำฝึกสอนให้แก่ลูกหลานพุทธบริษัทผู้สนใจ ทุกชาติ ทุกวัย ทุกเพศ นานเป็นสิบ ๆ ปีแล้ว ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๘
อย่างไรก็ดี ผู้ที่ “ได้” วิชชานี้ เป็นผู้ที่มีอัชฌาสัยในหมวด ฉฬภิญโญ เท่านั้น ผู้ที่ฝึกแล้ว“ไม่ได้” จึงมีอยู่
เช่นเดียวกับที่ พระมงคลเทพมุนี หรือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ได้เมตตานำวิชชาธรรมกาย ในหมวดเตวิชโช มาแนะนำสั่งสอนให้แก่ “บริษัท” ของท่าน ซึ่งก็เห็นดวง เห็นกายกัน เป็นจำนวนมาก บุคคลภายนอกบริษัท ต้องใช้ความเพียรอย่างมาก จึงจะพอมีโอกาส รู้เห็น “ดวง” เห็น “กาย” ได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ
ทั้งนี้หลักสูตรวิชชาต่าง ๆ อันเป็น พุทธศาสตร์ มีมากมาย ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ สำหรับผู้ที่มีปัญญาได้ศึกษา ปฏิบัติ ตามจริต และบารมีแห่งตน โดยมีจุดมุ่งหมายในขั้นสุดท้ายอย่างเดียวกัน คือ พระนิพพาน การหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง มีวิมุตติญาณทัสสนะ นั่นเอง
รวมความว่า หลักสูตร พุทธศาสตร์ ในพระพุทธศาสนา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงจำแนกไว้เป็น หมวดใหญ่ ได้แก่ สุกขวิปัสสโกเตวิชโช(วิชชา ๓),ฉฬภิญโญ(อภิญญา ๖) และ ปฏิสัมภิทัปปัตโต(ปฏิสัมภิทาญาณ)
นั่นคือ ผู้มีอุปนิสัยในหมวด สุกขวิปัสสโก
จะเป็นผู้ที่เรียบ ๆ เรื่อย ๆ ชอบสบาย ๆ ไม่อยากรู้อยากเห็นนัก อาศัยการอ่านจากตำราและฟังครูอาจารย์แนะนำก็พอใจแล้ว เมื่อปฏิบัติอาจจะได้เห็นนิมิตบ้าง
ผู้สนใจในหมวด เตวิชโช
เป็นผู้ที่อยากรู้ อยากเห็น ชอบสงสัย ฟังแต่คำบอกเล่า ก็ไม่เป็นที่พอใจ ต้องพิสูจน์ ให้รู้ด้วยตัวเอง ให้เห็น ประจักษ์ด้วยตัวเองจึงจะเชื่อ
ผู้มีอัชฌาสัยในหมวด ฉฬภิญโญ
เป็นผู้ซุกซน ชอบค้นคว้า อยากรู้-อยากเห็น ใจกล้า-ใจร้อน ว่องไว ตัดสินใจฉับพลันมากกว่าสองหมวดต้น ต้องรู้ได้ เห็นได้ และ ไปสัมผัสได้ จึงจะสุขใจพอใจ
ผู้ที่มีบารมีในหมวด ปฏิสัมภิทัปปัตโต
จะเป็นผู้ทรง อิทธิบาท ๔ มีความดีสูงมาก เพราะมีความสามารถเป็นปฏิสัมภิทาญาณ รู้รอบ และ รอบรู้ ทั้ง รู้ลึก และ รู้กว้าง ในทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการจะรู้ได้ ยิ่งกว่าความสามารถของ ๓ หมวดต้นรวมกัน แต่ทว่าผู้ที่จะมีความสามารถพิเศษตามหมวดนี้ได้ ต้องเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป
วิชชา มโนมยิทธิ ก็เป็นลักษณะวิชชา หนึ่งใน ๖ ของหมวด ฉฬภิญโญ.

วัตถุประสงค์
ด้วยเหตุที่บุคคลในยุคปัจจุบัน ตั้งแต่ใกล้กึ่งพุทธกาลเป็นต้นมา กล่าวได้ว่า ปัญญาในด้านธรรมะนั้นเสื่อมทรามลงมาก ไม่เข้าใจอย่างแท้จริงในคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ผู้ที่อาศัยผ้ากาสาวพัสตร์ของพระพุทธศาสนายังเป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นผิดเพี้ยนไปมากมาย บ้างถึงกับแบ่งพวก ตั้งนิกายใหม่ก็มี ทำให้พุทธศาสนิกชนผู้สนใจจริง ไขว้เขว ไม่รู้ว่า ข้อใดเป็นความจริง สิ่งไหนเป็นของปลอมปน
ดังนั้น วิชชา มโนมยิทธิ ที่หลวงพ่อฤาษี นำมาแนะนำสั่งสอนแก่ท่านทั้งหลาย จักได้เป็นเครื่องพิสูจน์ด้วยตัวเอง รู้เอง เห็นเอง ให้ได้ทั้งข้อเท็จจริงและข้อจริง แก้ข้อสงสัยให้ตัวเองได้ ทั้งท่านยังได้มุ่งหวังให้พุทธศาสนิกชนได้เข้าถึง ความดี ในพระศาสนา ทั้ง เปลือก สะเก็ด กระพี้ และ แก่น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้ท่านเข้าใจได้ว่า การรักษาอารมณ์พระอริยเจ้า มีอารมณ์พระโสดาบัน เป็นต้น เพื่อการหนีนรกและอบายภูมิอย่างถาวรนั้น ไม่ยากเลย
วิชชานี้จะพิสูจน์ได้ด้วยว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า เหมาะสม ทุกยุคทุกสมัย ตายแล้วไม่สูญ นิพพานไม่สูญ นรก สวรรค์ นิพพานมีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว จริง
และยังช่วยพิสูจน์เตือนสติได้ว่า ตนเคยทำชั่วอะไร แล้วอยู่ในนรกขุมไหนมาบ้าง ทนทุกข์ทรมานอย่างไร จะได้เกรงกลัวบาปกรรม เลิกกระทำเสีย เพราะ การอ่านตำรา หรือ ฟังเขาเล่าอย่างเดียว ไม่พอที่จะช่วยให้เรารู้จริง ไม่เกื้อหนุนให้เราหนีนรกได้
ประการสำคัญ การรู้ การเห็น ดังกล่าว จะช่วยให้ท่านทำตนเป็น ผู้ละ ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่า ทุกอย่างไม่เที่ยงเป็นทุกข์ แต่ความตายเป็นของเที่ยง รู้ดำรงชีพชอบ รู้ทุกข์และทางออกจากทุกข์ ละกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมทั้งปวงเสียได้ เห็นสภาพที่แท้จริงของร่างกายว่า อะไรคือเรา อะไรเป็นของเรา เพื่อให้เข้าถึงพระนิพาน อันเป็นที่สุด
อีกประการหนึ่ง ที่หลวงพ่อท่านได้นำวิชชา มโนมยิทธิ มาสอนนั้น ท่านบอกว่า เป็นการเตรียมบุคคลที่เหมาะสมเอาไว้รอรับ อภิญญาใหญ่ ของรุ่นต่อไปในวันข้างหน้า คะเนว่าจะเป็นประมาณ พ.ศ.๒๕๔๒ เป็นต้นไป เพื่อสืบทอดพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองอีกวาระหนึ่ง คล้ายสมัยพุทธกาล
มโนมยิทธิ นี้ อาจเรียกว่าเป็น อภิญญาเล็ก ก็ได้ หรือ กึ่งอภิญญา อาศัยการไปมาด้วยอทิสสมานกายแต่เพียงอย่างเดียว ส่วน อภิญญาใหญ่ นั้น ท่านไปไหนมาไหนกัน ก็ยกเอากายหยาบทั้งกายไปด้วย.

คุณประโยชน์
ขอบอกกล่าวถึง คุณประโยชน์ของวิชชา มโนมยิทธิ ไว้พอสังเขป เพื่อประดับปัญญาของสาธุชนผู้ใคร่รู้ว่า ผู้ที่ คล่อง ใน มโนมยิทธิ นั้น ครูอาจารย์ท่านกล่าวว่า ผลที่ได้จะเกินคุ้ม ถ้ารู้จักใช้ ทั้งประโยชน์ปัจจุบันและภายภาคหน้า
คำว่า คล่อง ท่านบอกว่า เวลาใช้งานไม่ต้องตั้งท่า ใช้ได้ทันที ไม่ต้องนั่งขัดสมาธิหลับตาปี๋ นับลมหายใจนาน เมื่อต้องการใช้ ให้นึกปุ๊บ รู้ปั๊บ ทันทีทันใด อย่างนี้ท่านเรียกว่า “ฌาน ๔ ใช้งาน” มีทิพจักขุญาณ เสมือนหนึ่งมีตาทิพย์
คุณประโยชน์ของ มโนมยิทธิ เป็นต้นว่า
-รู้ทุกข์ และวิธีแก้ทุกข์ หรือหนีทุกข์ได้
-รู้ว่า ควรทำอะไร ทำอย่างไร จึงจะมีผล อะไรไม่ควรทำ
-รู้ว่า ใครเป็นบัณฑิต เป็นพาล ควรคบ ไม่ควรคบ
-รู้ว่า ใครเป็นเนื้อนาบุญอยู่ที่ใด ใครเป็นเป็นพระแท้ สมมติสงฆ์ หรือลูกชาวบ้าน
-รู้ว่า ที่เขาเล่าว่า หรือข่าวลือนั้น จริงหรือไม่ เพียงไร
-รู้วาระจิตของบุคคลว่าแท้จริงเขาเป็น คน มนุษย์ หรือผู้ทรงศีลหรือเป็นสัตว์ ฯลฯ
-รู้ว่า บุคคล สัตว์ ก่อนเกิดมาจากไหน อาศัยปัจจัยใดให้ผล
-รู้ว่า ตายแล้วไปไหน เพราะกรรมใดเป็นเหตุ
-รู้ว่า อะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว
-รู้ การควร ไม่ควร กิจใดใช่ และไม่ใช่กิจของตน
-รู้ว่าสภาวะร่างกาย และความเป็นไปในโลกนี้ต่างกัน แบ่งแยกเป็นคน เป็นสัตว์ ตามกรรมของตน แต่อทิสสมานกายของคนและสัตว์ในภพอื่นนั้น เหมือนกันหมด ไม่มีแบ่งแยก ข้อแตกต่างอยู่ที่ความดีในทาน ศีล ภาวนา อันเป็นอริยทรัพย์ที่ไม่เสมอกัน
-รู้ว่า มีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์มากมายนับไม่ถ้วน รื้อขนสัตว์โลกไม่รู้จบสิ้น ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต
-รู้เห็น พระรูป พระโฉมของพระพุทธเจ้าและสภาวะพระนิพพาน
-รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคต และรู้วันตาย อาการตาย อย่างไรได้ ฯลฯ
กล่าวโดยสรุป ผู้ที่คล่องในวิชชาของพระพุทธเจ้านี้ จะรู้เห็น และใช้ประโยชน์ได้ ทั้งทางโลก ทางธรรม เป็นหมอดู พยากรณ์ โชคชะตาราศีก็ได้ ตราบเท่าที่จิตของท่านยังอยู่ในเขตบุญกุศล เหนืออื่นใด คุณประโยชน์ใหญ่ ก็คือว่า การรู้เห็นความจริงแท้ ทำให้จิตเบื่อหน่าย ละวางเป็นอุเบกขา เกิดสังขารุเปกขาญาณ หน่ายในวัฏฎสงสาร มุ่งนิพพานเป็นที่สุด.

แบบของมโนมยิทธิ
การฝึก มโนมยิทธิ ตามหลักสูตรเดิมอย่างครบถ้วนนั้น ผู้เรียนต้องฝึก กสิณ ให้คล่องก่อน สามารถทำจิตให้เป็นฌานในกสิณได้ฉับพลันคล่องตัว โดยไม่ต้องตั้งท่า เป็นต้นว่า เตโชกสิณ(กสิณไฟ) หรือ อาโลกกสิณ(กสิณแสงสว่าง) ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดทิพจักขุญาณ ต้องอดทนทรมานกายฝึกกันเป็นเดือน ๆ ปี ๆ ทีเดียว จึงจะได้ และมีจำนวนมากที่พยายามปฏิบัติมานับสิบปี ก็ไม่ได้
เมื่อได้กสิณกองใดกองหนึ่งหรือหลายกองจนคล่องแล้ว ครูอาจารย์จึงจะมาต่อวิชาให้ และการต่อวิชาที่ว่า คือ การแนะนำด้วยถ้อยคำสั้นๆ แล้วให้ไปปฏิบัติเอาเอง ไม่ได้พร่ำชี้แนะกันจนปากเปียกปากแฉะ ดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อนำไปปฏิบัติแล้ว ผิดถูกขัดข้องอย่างไร อาจารย์จึงจะชี้แนะแก้ไขให้
ดังนั้น วิชาความรู้ทั้งหลาย ทั้งทางโลกและทางธรรม ที่ท่านได้กันมาในสมัยก่อน จึงคงอยู่กับท่าน ไม่มีการขาดวิ่นสูญหายเอาง่ายๆ เหมือนหลายคนในปัจจุบันที่ ดัง ตอนต้นแล้วหรี่ลง ๆ จนถึง ดับ ในบั้นปลาย เพราะโลกียฌานหล่นหาย ต้องพ่ายต่อโลกธรรม ๘ และกิเลสตัณหา
การเจริญ มโนมยิทธิ มีหลายสิบวิธี วิธีเดิมนั้น สามารถรู้เห็นได้ ไปได้ แต่ไม่สามารถจะพูดจะพูดคุยกัน ไม่สามารถตอบคำถามได้ทันที ต่างคนก็ต่างนั่ง แล้วลืมตาขึ้นมาบอกอย่างนั้นอย่างนี้
เพื่อเป็นการตัดความสงสัยนานาประการ เพื่อประหยัดเวลาและเสริมสร้างกำลังใจพุทธบริษัท พระสุธรรมยานเถร หรือหลวงพ่อฤาษี ท่านจึงใช้ แบบพิเศษ มาสอนเป็นแบบที่คนข้างๆ สามารถถามได้พูดคุยได้ เห็นอะไรได้ และแนะนำกันได้ในตัวเสร็จ เป็นวิธี ลัดหรือ ประยุกต์ ท่านบอกว่า “เป็นแบบ วิชชาสาม บวกกับ อภิญญา” อันแก้ไขปัญหาข้อข้องใจในผลการปฏิบัติได้ส่วนหนึ่ง
ฉะนั้น ผู้เขียนจึงขอเรียก มโนมยิทธิ แบบฉบับของ หลวงพ่อฤาษี ท่านว่าเป็น มโนมยิทธิประยุกต์
มโนมยิทธิ ที่ หลวงพ่อฤาษี ประยุกต์ขึ้น ตามแนววิชชาของพระบรมศาสดานั้น ประมวลได้เป็น ๒ แบบ เพื่อความสะดวกรวบรัด และเหมาะกับยุคสมัยกำลังใจของพุทธบริษัท ได้แก่ แบบเต็มกำลัง และ แบบครึ่งกำลัง
แบบเต็มกำลัง บางครั้งเรียกว่า แบบเต็มอัตรา ท่านจะให้ตั้งต้นด้วย ฌาน ๔ ใช้งาน ให้อทิสสมานกาย ออกจากกายหยาบด้วยกำลังของฌาน ๔ และอาศัยกำลังความสะอาดของจิต โดยการแนะนำอารมณ์วิปัสสนาญาณให้ เพื่อให้รู้เห็นสภาวะพระนิพพานได้ หลวงพ่อเริ่มนำวิธีการนี้มาสอนเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ และผู้ที่ฝีกได้ เป็นผู้ที่มีความดี ความสามารถ เคยได้วิชชานี้มาแล้วในอดีตชาติ
แบบครึ่งกำลัง หรือเรียกว่า กึ่งมโนมยิทธิแท้ นั้น ขึ้นต้นด้วยกำลังสมาธิจิต ต่ำมาก แค่ระดับอุปจารสมาธิ เท่านั้น แต่อาศัยกำลังของ ศีล และ วิปัสสนาญาณ อารมณ์คิดตัดกิเลสให้จิตสะอาด สูงมาก เป็นองค์ประกอบสำคัญ และจะต้องให้ครูเข้าไปแนะนำ เป็นรายบุคคล รายกลุ่ม หลวงพ่อท่านเริ่มใช้สอน เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๑ เป็นต้นมา.

เหตุบันดาลใจให้ประยุกต์
ดังกล่าวแล้วข้างต้น การปฏิบัติเพื่อให้ได้ทิพจักขุญาณนั้น วิธีเดิมตามพระวิสุทธิมรรค ใช้เวลานานมาก เป็นเดือน ๆ ปี ๆ สำหรับภิกษุก็ไม่มีปัญหาเท่าใด แต่สำหรับญาติโยมพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาส หลวงพ่อท่านเล็งเห็นว่า คงเป็นไปได้ยาก เพราะมีภารกิจต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ
ท่านจึงพยายามหาวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ได้ผลดีเสมอกัน เพื่อมาแนะนำแก่พุทธบริษัท ท่านใช้เวลาถึง ๒๓ ปี จึงได้พบแนวความรู้ที่ท่านต้องการ และพิสูจน์แล้ว ได้ผลเป็นที่พอใจ
หลวงพ่อฤาษี ท่านเล่าให้ฟังว่า ท่านได้แนวความรู้แบบลัดนี้ มาจากท่าน อาจารย์สุข ซึ่งเป็นฆราวาส ด้วยความบังเอิญ เพราะไม่รู้จักกันมาก่อน หลวงพ่อท่านถูกขอร้องให้เป็นพยานในการท้าทายพิสูจน์กัน ระหว่างอาจารย์สุขและเพื่อนในวงเหล้า ที่เขาไม่เชื่อความสามารถอาจารย์สุข ที่สอนให้คนไปนรกไปสวรรค์ได้ หลวงพ่อสนใจและเห็นว่าแปลกดี เพราะการปฏิบัติแบบนี้ ไม่น่าจะมีเหล้ามาเกี่ยวข้อง และท่านเล่าให้ฟังต่อไปว่า
อาจารย์สุขให้หาดอกไม้ ๓ สี ๓ ดอก ธูป ๓ ดอก เทียนหนัก ๑ บาทมา ๑ เล่ม สตางค์หนึ่งสลึง เป็นค่ายกครู และเหล้า ๑ ขวด อาจารย์สุขกลิ้งครกตำข้าวมาให้เพื่อนท่านนั่งบนครกนั้น ให้หลับตาภาวนาว่า นะมะ พะทะ
อาจารย์สุข พรมน้ำมนต์ให้ แล้วยืนอยู่ใกล้ ๆ เพื่อนคนท้าทาย แล้วภาวนาว่า นะ โม พุท ธา ยะ เป็นการควบคุมอยู่ครู่หนึ่ง ท่านจุดธูปหอม ให้ควันธูปโรยใกล้จมูกเพื่อน เอากระดาษจุดไฟช่วย แสงสว่างส่องไปข้างหน้าเพื่อนของท่าน สักครู่เดียว เพื่อนของท่านเห็นแสงสว่างไปนรกและสวรรค์ได้ ตามคำแนะนำของท่านทุกประการ
เพื่อความสมบูรณ์แบบของประวัติ ผู้เขียนจึงขอคัดลอกคำบอกเล่าของหลวงพ่อ ถึงการแนะนำ ถาม-ตอบ ของท่านอาจารย์สุขและเพื่อน ระหว่างการทดสอบ ให้ท่านผู้สนใจได้รับทราบ ดังนี้.-
อาจารย์สุข:- “สว่างแล้วหรือยัง?”
เพื่อน:-       “สว่างแล้ว”
อาจารย์สุข:- “เห็นแสงขาว ๆ พุ่งลงมามีไหม หรือแสงสว่างพุ่งออกไปมีไหม”
เพื่อน:-       “เห็นแสงสว่าง พุ่งลงมาจากข้างบน”
อาจารย์สุข:- “ถ้าอย่างนั้น ตัดสินใจพุ่งกายไปตามแสงทันที”
เพื่อน:-       “เวลานี้ออกจากกายแล้ว”
อาจารย์สุข:- “ให้ตั้งใจไปนรก” 
เพื่อน:-       “เวลานี้ ถึงนรกแล้ว”
เพื่อนอธิบายนรกถูกต้องตามไตรภูมิและตามพระบาลีทุกอย่างได้อย่างน่าทึ่งมาก
เพื่อน:-       “อยากพบคุณปู่ ที่ตายไปแล้ว” 
อาจารย์สุข:- “นึกถึงพญายม เชิญท่านมาสงเคราะห์”
เพื่อน:-       “เวลานี้ ท่านพญายม มายืนอยู่ข้าง ๆ แล้ว” 
อาจารย์สุข:- “ถามท่านว่า คุณปู่ชื่อ…. ตายไปเมื่อ…. เวลานี้อยู่ในนรกไหม”
เพื่อน:-      “พญายมบอกว่า ในนรกไม่มี คนนี้เมื่อมีชีวิตอยู่มีความดีมาก มีศีล ๕ ครบมานานถึง ๓๐ ปี มีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริง และคนนี้มีจิตอยากไปนิพพาน”
อาจารย์สุข:- “ถามท่านพญายมว่า คุณปู่ไปนิพพานหรือยัง?” 
เพื่อน:-       “ท่านบอกว่ายัง ไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิตเพราะก่อนตายเป็นพระโสดาบัน”
เพื่อนเกิดสนใจในความประพฤติของพระโสดาบัน จึงถามท่านพญายมต่อและได้รับคำแนะนำจากท่านว่า
“ต้องมีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ไม่ประมาทในความตาย ต้องเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์จริง มีศีล ๕ บริสุทธิ์ และต้องการจุดเดียว คือ พระนิพพาน ผู้ที่มีความประพฤติอย่างนี้ บาปเก่า ๆ ทั้งหมด จะไม่สามารถลงโทษได้ต่อไปอีก”
เพื่อน:-(ถามพญายม) “อย่างผมนี่จะเป็นพระโสดาบันได้ไหม?”
ท่านพญายม:- “อย่างนี้เป็นไม่ได้ ต้องเป็นสัตว์นรก เพราะโทษจากการกินเหล้า กินเหล้าเฉย ๆ ต้องตกโลหกุมภีนรก ถ้ากินแล้วโกหก ก็มีอีกขุมหนึ่ง กินแล้วทำร้ายคนอื่น ก็มีขุมอื่น ๆ อีก ในยมโลกียนรก ถ้าบาปหนักกว่านี้ ต้องลงนรกขุมใหญ่กว่านี้”
เพื่อน:-         “ถ้าผมปฏิบัติตนอย่างปู่ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จะไปได้เหมือนปู่ไหม?”
ท่านพญายม:- “ได้ ลืมความชั่วที่เคยทำมาทั้งหมด บาปทุกชนิดที่เคยทำมา เราไม่ทำอีกต่อไป เราต้องการนิพพาน”
ทั้งหมดนี้ ใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพื่อนถอนตัวกลับ ลุกขึ้นกราบอาจารย์สุข แล้วเลิกดื่มเหล้า ตั้งแต่บัดนั้น อาจารย์สุขเองก็เลิกดื่มเช่นกัน อาศัยเพื่อนคนนั้นเป็นเหตุ
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น หลวงพ่อฤาษี ท่านสนใจขอศึกษาบ้าง แต่อยากพิสูจน์ก่อน ท่านเห็นคนทอดแหอยู่ ๒ คนจึงเรียกมา และตกลงจ่ายเงินให้เขาคนละ ๒๐ บาท ทดแทนค่าเสียเวลาทอดแห ให้มาทดสอบการเรียนจากอาจารย์สุข ท่ามกลางชุมนุมชนนับสิบคน
เมื่อ ๒ คนนั้น ชำระกาย หาเครื่องบูชามาครบแล้ว อาจารย์สุขเขียน นะ โม พุท ธา ยะใส่กระดาษปิดตา แล้วให้นั่งบนครกตำข้าว พร้อมกับให้ภาวนาว่า นะมะ พะทะ ทันที ไม่ถึง ๑๐ นาที ทั้ง ๒ คน บอกว่า “เห็นแสงสว่างพุ่งออกมาแล้ว”
และบอกอาจารย์สุขว่า “อยากรู้ว่า การทอดแห หาปลา โทษจะทำให้ไปไหน”
อาจารย์สุขแนะนำให้ไปสำนักพญายม ถามท่านพญายมได้คำตอบว่า
“ถ้าตายเวลานี้ ต้องตกนรกขุมใหญ่ขุมที่ ๖ แล้วต้องผ่านนรกบริวาร ๔ ขุม มาเข้าขุมที่ ๕ พร้อมนรกบริวารอีก ๔ ขุม ผ่านยมโลกียนรก ต่อไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เธอฆ่าสัตว์เดรัจฉานเท่าไร ต้องเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้นให้เขาฆ่าจนครบตัว ตัวละชาติ แล้วก็เป็นสัตว์พิเศษอีกต่างหาก จึงจะเกิดมาเป็นมนุษย์ง่อยเปลี้ยเสียขา อีกหลายชาติ”
ชายผู้นั้นตกใจมาก กลัวผลของกรรมสนอง อาจารย์สุขจึงให้ถามท่านพญายม ถึงวิธีปฏิบัติให้พ้นบาป ท่านพญายมแนะนำว่า
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะดีมีทางไปสวรรค์ ถ้าเธอมีศีลบริสุทธิ์ ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า ไม่ลืมว่าชีวิตจะต้องตาย ตั้งใจเฉพาะว่าเราจะไปนิพพาน”
ชายคนนั้นก้มกราบพญายม แต่กายหยาบที่นั่งอยู่ แสดงอาการอ่อนน้อม ก้มกราบลงด้วย แล้วชายผู้นั้นบอกอาจารย์สุขว่า “อยากไปสวรรค์” อาจารย์สุขจึงให้ลาพญายมแล้วตั้งใจให้นึกถึงพระอินทร์
เมื่อชายผู้นั้นบอกว่า พระอินทร์ท่านมาแล้ว อาจารย์สุขจึงบอกให้ตามท่านไปสวรรค์ และถามท่านว่า “ความดีที่ทำเวลานี้ จะส่งผลให้ไปไหน?” พระอินทร์ท่านบอกว่า “ความดีที่ทำนี้ เป็นฌานสมาบัติ ต้องไปพรหมโลก” แล้วพระอินทร์ ท่านพาไปดูวิมานของเขาที่พรหม ชายผู้นั้นดีใจมาก เห็นร่างกายของตนเองเปลี่ยนไปเป็นพรหมสวยงาม
ก่อนจะเลิก หลวงพ่อท่านอยากพิสูจน์ให้เห็นปัจจุบัน จึงบอกให้ไปดูที่กุฏิของท่านที่วัดบางนมโค (ในตอนนั้น) เขาก็บอกถูกหมดในรายละเอียดปลีกย่อยต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน “ไป ๆ มา ๆ เธอย่องนับสตางค์ในย่ามอาตมาเข้าให้ ประกาศเสียงดังว่า พระคุณเจ้าเวลานี้มีเงินอยู่ ๓๐ บาทเท่านั้นครับ ทุกคนฮากันตึงเลยเพราะเขาพูดถูก” หลวงพ่อฤาษี ท่านเล่าให้ฟัง
หลวงพ่อจึงขอเรียนจากอาจารย์สุข เพราะมั่นใจว่าญาติโยมพุทธบริษัทที่มีกำลังใจ ดีกว่าคนทอดแห คนกินเหล้า ต้องทำได้แน่
นี่คือ ประวัติความเป็นมาดั้งเดิมของ มโนมยิทธิประยุกต์ แบบฉบับของ หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง จ.อุทัยธานี.

หลักสูตรเดิมจากท่านอาจารย์สุข
หลวงพ่อฤาษี ท่านเล่าถึงหลักสูตร ที่ท่านเป็นพระ แต่เรียนจากฆราวาส เช่น อาจารย์สุข โดยไม่ปิดบังว่า หลักสูตรที่ท่านศึกษามานั้น เป็นหลักสูตรของครูหรือผู้ควบคุมการฝึก และเป็นมโนมยิทธิวิธี เต็มอัตราหรือเต็มกำลัง
“ครูต้องท่อง อิติปิโสฯ ทั้ง ๓ ห้องให้ได้ สำหรับทำน้ำมนต์ แต่ก่อนทำน้ำมนต์ ครูต้องพบพระพุทธเจ้าก่อนเพื่อขอกำลังบารมีพระพุทธเจ้า ช่วยทำน้ำมนต์” หลวงพ่อท่านบอกกล่าว
การฝึกตามหลักสูตรเต็มอัตรานั้น จะต้องใช้น้ำมนต์พรมก่อนฝึก คือ พอเริ่มฝึก ครูก็พรมน้ำมนต์ให้กันผีแทรก กันอารมณ์หลง พอประกาศเลิกฝึก ครูก็พรมน้ำมนต์ให้อีกครั้งหนึ่ง
ครูใช้คาถาภาวนาว่า นะ โม พุท ธา ยะ เวลาเอาธูปหอมเข้าไปหาผู้เรียน หรือจะเอาไฟส่องหน้า นั่นคือ อาศัยบารมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ช่วยสงเคราะห์ให้เขาสว่างและไปได้
ของบูชาครูต้องมี ได้แก่ ธูป ๓ ดอก เทียนหนัก ๑ บาท ๑ เล่ม ดอกไม้ ๓ สี ๓ ดอก เงิน ๑ สลึง ครูต้องเขียนคำว่า นะ โม พุท ธา ยะ ลงในแผ่นกระดาษ พับเป็นสามเหลี่ยม ให้ผู้เรียนปิดหน้า แล้วให้ผู้เรียนภาวนาด้วยว่า นะมะ พะทะ
พิธีกรรมที่ได้รับการแนะนำจากอาจารย์สุขตามหลักสูตรมีเท่านี้ เป็นการฝึกแบบเต็มกำลัง ถ้าผู้เรียนฌานยังไม่เรียบ (คือฌานยังหยาบอยู่) จะมีอาการเต้นบ้าง มือตบเข่าบ้าง เป็นต้น
หลวงพ่อฤาษี จึงได้นำมโนมยิทธิวิธีนี้ มาสอนแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ ผลปรากฏว่ามีผู้ไปได้มากพอสมควร แต่ว่าส่วนใหญ่ไปได้แค่สวรรค์ และไปนรกก็ได้ โอกาสไปถึงพรหมมีน้อยมาก ยิ่งพระนิพพานด้วยแล้ว มีผู้ไปได้ไม่กี่คนเท่านั้นเอง.

มโนมยิทธิประยุกต์แบบเต็มกำลัง
เมื่อหลวงพ่อท่านพิจารณาแล้วเห็นว่า การฝึกแบบนี้ได้ผลยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ด้วยเหตุใหญ่ที่ว่า กำลังใจ (บารมี) ของญาติโยมพุทธบริษัทนั้นสะอาดไม่พอ จึงไปพรหมและนิพพานกันไม่ได้ ต้องหาวิธีรวบรัดกำลังใจตัดกิเลสให้จงได้ (เฉพาะเวลาฝึก)
ดังนั้นท่านจึงกำหนดให้ผู้เรียนทุกคนต้องสมาทานศีลก่อน ด้วยความเคารพ หลังจากนั้นท่านแนะนำอริยสัจให้เบา ๆ เพื่อให้เข้าใจในทุกข์ เพื่อปล่อยวางอารมณ์หลง ที่สุดให้ตัดสินใจในขณะนั้นอย่างแน่วแน่ว่า “ขึ้นชื่อว่า การเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เราไม่ต้องการมันอีก เป็นเทวดาหรือพรหมก็สุขชั่วคราว หมดบุญวาสนาบารมี เราอาจพุ่งลงนรกได้ เราไม่ต้องการ เราจะไปนิพพานจุดเดียว”
แล้วให้เอากระดาษที่เขียนคาถา นะ โม พุท ธา ยะ ปิดหน้า ให้ผู้เรียนภาวนาด้วยว่า นะมะ พะทะ ให้ทำกำลังใจไม่ห่วงร่างกาย ไม่สนใจนิวรณ์ ๕ นึกและจดจ่อเฉพาะคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าว่า นะ มะ หายใจออกว่า พะทะ
ผลปรากฏว่า วิธีประยุกต์ใหม่แบบเต็มกำลังของหลวงพ่อให้ผลดีมาก มีอาการคล่องตัว เมื่อมีแสงสว่างพุ่งขึ้นมา ทุกคนเห็นพระพุทธเจ้าชัดเจนมาก หลวงพ่อจึงบอกให้ตามพระพุทธเจ้าขึ้นไปถึงนิพพานเพราะกำลังใจตอนนั้นถึงแล้ว สภาพของอทิสสมานกายของทุกคนที่ไปได้ตอนนั้นแพรวพราวหมด สภาพการรู้เห็นแจ่มใสชัดเจนมาก เพราะอาศัยกำลังของฌาน ๔
อย่างไรก็ดี หลวงพ่อฤาษีท่าน สอนด้วยมโนมยิทธิวิธีนี้ เพียงปีเศษ ๆ เท่านั้น ก็หมดยุค หลังจากปี ๒๕๐๙ เป็นต้นมาจนถึงปี ๒๕๒๑ เวลาถึง ๑๐ ปีเต็ม ไม่มีใครได้อีกเลย
หลวงพ่อท่านสลดใจมากจนไม่อยากจะสอนวิชชามโนมยิทธิต่อไป จะสอนแบบสุกขวิปัสสโกแทน แต่ว่าท่านยังเป็นห่วงสาธุชนจะประมาท ด้วยมีคำสอนเชิงปรามาส ขัดแย้งคำสอนของพระพุทธเจ้ามากมาย จนเกร่อไปทั่ว
นอกจากนี้องค์พระชินสีห์บรมศาสดา ทรงมาแนะนำวิธีการให้หลวงพ่อใหม่ให้สอนต่อไป ไม่ให้เลิกเสีย เพราะท่านบอกว่า การสอนมโนมยิทธิ “เป็นการเตรียมตัวบุคคล เพื่อรับอภิญญาใหญ่ นับแต่นี้ต่อไปอีก ๒๐ ปี อภิญญาใหญ่จะเข้าถึง” (นั้นคือ พ.ศ.๒๕๔๒) ทั้งยังเป็นการสืบต่อความรู้พุทธศาสนาในแนววิชชานี้ มิให้ขาดสายด้วย
วิธีการสอนแบบใหม่ พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้ทำทิพจักขุญาณให้ได้ก่อน โดยอาศัยกำลังของวิชชาสามระดับอุปจารสมาธิ แล้วจึงสอนให้เข้าใจเรื่องอริยสัจและวิปัสสนาญาณ
รวมความว่า วิธีประยุกต์ใหม่อีกขั้นหนึ่งนี้ เป็นแบบครื่งกำลังหรือกึ่งมโนมยิทธิแท้ และหลวงพ่อฤาษีประยุกต์ขึ้น ตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซื่งท่านได้แนะนำสั่งสอนบรรดาลูกหลานพุทธบริษัท เรื่อยมาจนบัดนี้.

มโนมยิทธิประยุกต์ แบบครึ่งกำลัง
ด้วยความห่วงใยและเมตตาแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท ดังกล่าวข้างต้น หลวงพ่อฤาษี ท่านจึงได้ประยุกต์วิธี แบบครึ่งกำลัง ขึ้นมาให้เหมาะกับ ยุคสมัยที่ผู้คนส่วนใหญ่มีปัญญาและสัญญาทรามลง กำลังใจยังต่ำอยู่ ซึ่งอาศัยวิธีแบบเต็มกำลังไม่ได้ผล และถึงแม้ว่าท่านจะคิดวิธีลัดแบบนี้ให้แล้ว คนยุคนี้ที่ขาดศรัทธาและหย่อนในอิทธิบาท ๔ ก็ยังปฏิบัติกันไม่ได้อยู่มากเหมือนกัน
วิธีการประยุกต์ แบบครึ่งกำลัง นั้น ท่านลดกำลังส่วนหน้าลงมาเหลือเพียงแค่ระดับอุปจารสมาธิ แล้วใช้อารมณ์วิปัสสนาญาณเข้าช่วย เพื่อให้เกิดทิพจักขุญาณก่อนตามคำแนะนำที่องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสอน
ด้วยเหตุที่ว่า กำลังใจ คือ บารมีของคน อ่อนลงมาก อ่อนทั้งในศรัทธา ความเชื่อในความดีของพระศาสนา และอ่อนในบารมี คือ ความดีทั้งใน ทาน ศีล ภาวนา ดังกล่าวแล้ว เมื่อได้ประยุกต์ให้เข้ากับสมัยแล้ว วิชชามโนมยิทธิ ตามหลักสูตรปรับปรุงใหม่นี้ ก็เป็น กึ่งมโนมยิทธิแท้ คือเป็น กึ่งอภิญญา แต่ไม่ใช่อภิญญาแท้ ผนวกเข้ากับหลักสูตรของวิชชาสาม และใช้กำลังสมาธิระดับ อุปจารสมาธิ เท่านั้น อาศัย วิปัสสนาญาณ ความสะอาดของจิตมาส่งเสริม ให้รู้เห็นได้ชัดเจนแจ่มใส
นั่นคือ เป็น “สมาธิจิตที่เนื่องด้วยวิชชาสาม และ อภิญญา โดยอาศัยวิปัสสนาญาณ เพื่อทำทิพจักขุญาณให้เกิด”
กล่าวอีกนัยหนึ่ง “การรู้เห็นของบุคคลใดด้วยจิต ต้องอาศัยกำลังสมาธิของผู้นั้น แต่ความชัดเจนของการรู้เห็นนั้น ขึ้นอยู่กับกำลังของวิปัสสนาญาณ อำนาจในการตัดกิเลส หรือการทำจิตให้สะอาด บริสุทธิ์ ของบุคคลผู้นั้นเอง”
การสอนแบบประยุกต์ครึ่งกำลังนี้ ต้องอาศัย ครู เข้าไปชี้แนะเมื่อจิตสงบถึงอุปจารสมาธิได้แล้ว ฉะนั้น ครู จึงมีบทบาทสำคัญ อันเป็นนัยต่อการสอนแบบนี้ แม้จะเป็นคนละความหมายกับ ครู ผู้ควบคุมการฝึกตามนัยแห่งหลักสูตรของอาจารย์สุข
ประการสำคัญ ใคร่ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัทระลึกไว้ด้วยว่า ครูไม่มีความสามารถ และไม่มีอำนาจในการสะกดจิตของผู้ใด หรือช่วยให้ใคร รู้เห็น ไม่รู้ไม่เห็น ในวิชชาของพระพุทธเจ้า.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น